นับตั้งแต่ธนาคารดีบีเอส จากสิงคโปร์ ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารไทยทนุ
และเปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารดีบีเอสไทยทนุ ปรากฏว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ธนาคารแห่งนี้ได้ตกเป็นข่าวด้านลบมาโดยตลอด
โดยเฉพาะการที่ผู้บริหารระดับสูงทยอยกันลาออก โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถรับกับนโยบาย
ที่ถูกส่งมาจากดีบีเอส ที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ได้
เริ่มตั้งแต่ปกรณ์ ทวีสิน ที่ขอเกษียณตัวเองในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
และประธานกรรมการบริหาร เมื่อวันที่ 1 มกราคม ตามมาด้วยนิติกร ตันติธรรม
ที่ลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มบริหารความเสี่ยง ในวันที่
24 มกราคม และขรรค์ ประจวบเหมาะซึ่ งอยู่กับธนาคารแห่งนี้มาถึง 23 ปี ก็ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งกรรมการ
และรองกรรมการผู้จัดการ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์
นโยบายสำคัญ ที่ผู้บริหารทั้ง 3 เห็นพ้องต้องกันว่าไม่สามารถรับได้ คือ
การยุบสาขาถึง 35 สาขา และการลดจำนวนพนักงานลงกว่า 1,000 คน
นโยบายดังกล่าว ตลอดจนการลาออกจากตำแหน่งของผู้บริหารระดับสูง ซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับธนาคารแห่งนี้มาเป็นเวลานาน
สร้างความหวั่นไหวต่อขวัญ และกำลังใจของพนักงาน ถึงขั้นรวมตัวกันตั้งสหภาพ
เพื่อหวังใช้เป็นองค์กรสำหรับการต่อรองกับผู้บริหาร (รายละเอียดอ่านใน"ผู้จัดการ"
ฉบับเดือนมีนาคม 2543)
ล่าสุดพรสนอง ตู้จินดา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ ก็ได้ออกมายืนยันว่าการยุบสาขา
และลดจำนวนพนักงานได้กระทำเสร็จสิ้นลงเรียบร้อยแล้ว
"ขณะนี้การจัดบ้านของเราเรียบร้อย และธนาคารก็มีขนาดเหมาะสมในการทำธุรกิจแล้ว"
พรสนอง กล่าวในการแถลงข่าวถึงผลการดำเนินงานงวด ไตรมาสแรก ประจำปี 2543 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่
20 เมษายน วันแรกของสัปดาห์ หลังผ่านพ้นวันหยุดอันยาวนานในช่วงหลังสงกรานต์
ที่ผ่านมา
การจัดบ้าน ที่เรียบร้อย หมายถึงการยุบสาขา ซึ่งสามารถทำได้ไปแล้ว เป็นจำนวนทั้งสิ้น
34 สาขา จากเป้าหมาย 35สาขา ยังเหลือเพียงสาขาปลวกแดง จังหวัดระยองเพียงแห่งเดียว
ที่ยังไม่ได้ยุบ เนื่องจากว่าธนาคาร ยังไม่มีสาขาใกล้เคียง ที่จะให้ลูกค้าเดิมของสาขาปลวกแดงย้ายไปใช้บริการได้
ส่วนการลดจำนวนพนักงาน ก็ทำเสร็จแล้วเช่นกัน
"ปัจจุบันจำนวนพนักงานของธนาคารมีเหลืออยู่ทั้งสิ้น 1,850 คน โดยใช้
งบประมาณในการปรับลด พนักงานในครั้งนี้เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 120 ล้านบาท"
พรสนองกล่าวในงานเดียวกัน
ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ปรากฏว่าผู้บริหารของธนาคารลงมากันถึง 8 คน แต่ในจำนวนนี้
เป็นผู้บริหารคนไทยเพียง 4 คน ซึ่งนอกจากพรสนองแล้ว ก็มีชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์
สุรเกียรติ วงศ์วาสิน และเสถียร ตันสถิกร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ส่วน ที่เหลือเป็นผู้บริหารชาวสิงคโปร์
ที่ถูกส่งมาจาก ดีบีเอส สำนักงานใหญ่ ซึ่งแสดงบทบาท ในการเป็นผู้ฟังที่ดี
แม้ในระหว่างการแถลงข่าว ซึ่งมีตัวแทนจากสหภาพแรงงานเข้ามาร่วมรับฟัง และได้ตั้งคำถามพรสนองเกี่ยวกับการปรับลดต้นทุนของธนาคาร
สร้างความเครียดให้กับพรสนองถึงขั้นพูดออกมาว่า "อย่ากดดันผมมากกว่านี้
จะเอาปืนมายิงผมก็ยอม" ผู้บริหารชาวสิงคโปร์เหล่านี้ก็ยังนิ่งเฉย
สิ่งที่พรสนองยืนยันในการแถลงข่าวครั้งนี้ก็คือ นับแต่นี้เป็นต้นไป ธนาคารจะมุ่งเป้าไปในเรื่องของการขยายสินเชื่อ
ที่เคยตั้งเป้าหมายไว้จำนวน ทั้ง สิ้น 13,000 ล้านบาทเป็นหลัก เพราะ ที่ผ่านมาไม่ได้เน้นมากนัก
ไปเน้นหนักกับเรื่องของการยุบสาขา และลดขนาดขององค์กร
โดยมีเป้าหมาย ที่จะทำให้ดีบีเอสไทยทนุเป็น World Class Thai Bank ที่สามารถแข่งขันกับธนาคารต่างๆ
ได้ แม้จะมีขนาดเล็กกว่า