ไทยพาณิชย์คาดNAVทะลุ1แสนล้าน ตั้งเป้าขยับขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในปีหน้า


ผู้จัดการรายวัน(4 สิงหาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

พอร์ตกองทุนรวมภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.ไทยพาณิชย์ ขยับขึ้นเป็นเบอร์ 2 รองจากบลจ.กสิกรไทยทิ้งห่างบลจ.เอ็มเอฟซี และบลจ.กรุงไทย หลัง”โหมโรง”กองทุนพันธบัตรรัฐบาล ผ่านเครือข่ายสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ ดันNAV ขยับแตะ 8.4หมื่นล้านบาท “อดิศร”คาดปีนี้ทะลุ 1 แสนล้านบาทแน่ พร้อมประกาศปีหน้าขอผงาดเป็นเบอร์หนึ่งธุรกิจกองทุนรวม

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า มูลค่าสินทรัพย์สุทธิกองทุนรวมภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท ณ วันที่ 29 กรกฎาคม 2548 มีมูลค่า 84,568.89 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งตลาด 13..87% ซึ่งถือว่าพอร์ตกองทุนรวมสูงสุดเป็นอันดับสองของธุรกิจกองทุนรวม หากไม่นับรวมกองทุนรวมวายุภักษ์ที่มีบลจ.กรุงไทย และบลจ.เอ็มเอฟซี เป็นผู้บริหาร และคาดว่าในช่วงสิ้นปีนี้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการจะเพิ่มเป็น 1 แสนล้านบาทตามเป้าที่ตั้งไว้ก่อนหน้า

สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากบริษัทสามารถออกกองทุนได้ตรงกับความต้องการของลูกค้า และที่สำคัญทีมขายของธนาคารไทยพาณิชย์มีประสิทธิภาพมาก โดยปัจจุบันมีพนักงานสาขาธนาคารไทยพาณิชย์กว่า 1.5 พันคน ที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

“พนักงานธนาคารกับลูกค้ามีความสัมพันธ์กันมาก ช่องทางการขายกองทุนของเราเกือบ 100% จึงมาจากธนาคารไทยพาณิชย์” นายอดิศรกล่าว

นายอดิศร กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรกตลาดหุ้นมีความผันผวน ส่งผลให้กองทุนตราสารหนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการออกกองทุนตราสารหนี้ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้เอกชนและพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งทำให้มูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยในสิ้นปี 2547 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 42,000 ล้านบาท ก่อนที่จะขยับเพิ่มเป็น 80,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรก

ส่วนแนวโน้มผลตอบแทนกองทุนหุ้นของบริษัทในครึ่งปีแรกต้องยอมรับว่าปรับตัวลดลงตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในครึ่งปีหลังบริษัทมีนโยบายปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ โดยจะหันมาใช้กลยุทธ์การบริหารพอร์ตเชิงรุกมากขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนในระดับที่สูงให้กับนักลงทุน ซึ่งขณะนี้ผู้จัดการกองทุนอยู่ระหว่างการคัดหุ้นที่มีคุณภาพ และให้ผลตอบแทนสูง แต่ระดับราคาอยู่ในระดับต่ำ

นายอดิศร กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปีนี้ว่า บริษัทยังคงให้น้ำหนักกับการออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เพื่อตอบสนองความต้องการของฐานลูกค้าเงินฝาก ที่มองหาผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แต่มีความเสี่ยงในระดับต่ำ โดยบริษัทเตรียมออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเฉลี่ยเดือนละ 1 กองทุน มูลค่าโครงการประมาณ 3-5 พันล้านบาท ส่วนกองทุนหุ้นที่เตรียมออกอีกกองในช่วงเดือนกันยายน จะเป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่มีนโยบายลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) มูลค่าโครงการประมาณ 5 พันล้านบาท

นายอดิศร กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้บริษัทตัดสินใจออกกองทุน LTF เข้าลงทุนในตลาด MAI เนื่องจากประเมินว่าหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดใหม่บางตัวเป็นหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพและให้ผลตอบแทนสูง ส่วนปัญหาเรื่องสภาพคล่องไม่น่าจะเป็นห่วงมากนัก เนื่องจากกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเป็นการลงทุนระยะยาว ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการขายคืนหน่วยลงทุน และที่สำคัญบริษัทเน้นลงทุนระยะยาวมากกว่า ซึ่งถือว่ามีความสอดคล้องกับนโยบายการลงทุน

กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวอีกว่า ในปีหน้าเราตั้งเป้าที่จะเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจจัดการกองทุนรวมให้ได้ เนื่องจากเครือข่ายธนาคารไทยพาณิชย์ที่เป็นบริษัทแม่ ถือว่าเป็นเครือข่ายที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันพนักงานขายที่มีประสิทธิภาพถือเป็นจุดขายที่สำคัญ โดยบริษัทมีนโยบายอบรมพนักงานให้มีความรู้เรื่องการวางแผนการลงทุน และมีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของกองทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีที่ผ่านมามีการฝึกอบรมให้กับพนักงานสาขาต่างๆประมาณ 50-60 ครั้ง ซึ่งเป็นที่มาที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จในการเสนอขายหน่วยลงทุนให้กับลูกค้า


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.