หอแว่นทุ่ม200ล.ฮุบเชนโอพีเอสเอ็มลดงบลงทุนไทย-แก้มือบุกจีนอีกรอบ


ผู้จัดการรายวัน(27 กรกฎาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

หอแว่นกรุ๊ปรับมือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รุดซื้อกิจการจากโอพีเอสเอ็ม 200 ล้านบาท ขยายธุรกิจภายใต้แบรนด์ "เบ็ทเทอร์ วิชั่น" สู่แดนสิงคโปร์และมาเลเซีย หวังสร้างแบรนด์ติดตลาดรีจีนอล ก่อนสยายปีกสู่โกลบอล แบรนด์ในระยะยาว เผยตลาดจีนไม่เวิร์กเจอปัญหาเรื่อง กฎหมายแต่ยังไม่ท้อเตรียมขยายตลาดอีกครั้งใน 3 ปีข้างหน้าพร้อมมีแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนในประเทศปีนี้ลดงบลงทุนกว่า 60% หลังไทยเจอหลายปัจจัยรุมเร้า พร้อมตั้งเป้าโตต่ำกว่าทุกปีหรือประมาณ 15-20%

นายภาคี ประจักษ์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท หอแว่นกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดแว่นตาปีนี้ได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย อาทิ เหตุการณ์สึนามิ, ราคาน้ำมัน และจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ตลาดชะลอตัว คาดว่าปีนี้จะเติบโต 15-20% ซึ่งน้อยกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา กว่า 20% ดังนั้น บริษัทฯจึงต้องเสริม ธุรกิจด้วยการขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศ

ล่าสุดบริษัทฯได้ลงทุน 200 ล้านบาทซื้อกิจการเครือข่ายร้านแว่นตาโอพีเอสเอ็มในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียจากบริษัทโอพีเอสเอ็ม กรุ๊ป จำกัดของออสเตรเลียมาดำเนินกิจการต่อ ซึ่งหอแว่นจะเริ่มดำเนินการ บริหารในวันที่ 1 ก.ย. นี้ด้วยการใช้ชื่อแบรนด์ว่า "เบ็ทเทอร์ วิชั่น" ซึ่งการ ลงทุนในครั้งนี้บริษัทฯต้องการสร้างแบรนด์เบ็ทเทอร์ วิชั่นให้ติดตลาด รีจีนอล แบรนด์ และเป็นโกลบอล แบรนด์ในระยาวยาวหรืออีก 10 ปีข้างหน้า

ประกอบกับบริษัทฯมองเห็นศักยภาพของตลาดทั้ง 2 ว่ามีกำลังซื้อ สูงกว่าคนไทย โดยตลาดแว่นตาในสิงคโปร์มีมูลค่า 3 พันล้านบาทต่อปี ขณะที่จำนวนประชากร 4 ล้านคน ซึ่งถือเป็นตลาดเล็กแต่มีกำลังซื้อสูงกว่าไทย ส่วนมาเลเซียมีประชากร 20 ล้านคน และมีมูลค่าตลาดรวมแว่นตาประมาณ 4 พันล้านบาทต่อปี โดยคาดว่ายอดรายได้ของ 2 ประเทศจะอยู่ที่ 200 ล้านบาทจาก 22 สาขา และมีการเติบโต 5-10%

"บริษัทฯตั้งเป้าภายใน 3 ปี ยอดขายรวมของบริษัทจะมีกว่า 1 พันล้านบาท แบ่งเป็นตลาดในสิงคโปร์และมาเลเซียจะมีอัตราการโต 15-20% ส่วนไทยโตทุกปี 20% และเซี่ยงไฮ้ โต 15-20% นอกจากนี้บริษัทฯมีแผนขยายตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม, ลาว และพม่า รวมถึง เตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯหลัง 3 ปีข้างหน้านี้"

ทั้งนี้ การลงทุนครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งที่ 2 ต่อจากการลงทุนในจีนที่ เซี่ยงไฮ้ ซึ่งหอแว่นได้รับเชิญจากซีพี ให้ไปเปิดร้านที่ศูนย์ซูเปอร์ แบรนด์ มอลล์เมื่อปี 2002 โดยการทำตลาดในจีนพบว่ายังมีปัญหามาก อาทิ เรื่องกฎหมายและการปกครอง ขณะนี้บริษัทฯรอให้ระบบภายในจีนมีความแน่นอนก่อน จากนั้นมีแผนเดินหน้าขยายตลาดจีนอย่างเต็มที่ ซึ่งการมาบุกสิงคโปร์และมาเลเซียก็เป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนการบุกจีน เนื่องจากทีมงานสิงคโปร์พูดภาษาจีนกวางตุ้งได้ นายภาคีกล่าวด้วยว่า การทำตลาดในประเทศไทยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ หอแว่นเตรียมงบลงทุน 7-8 ล้านบาทจากงบทั้งปี 12 ล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยลงหากเปรียบเทียบกับปีที่แล้วที่ใช้งบลงทุน 40 ล้านบาท โดยหอแว่นมีแผนจัดแคมเปญใหญ่ ซึ่งจะมีการทำโปรโมชันและลดราคาสินค้า เป็นต้น

ส่วนแผนการขยายสาขาในไทยปีนี้เตรียมเปิด 6-8 แห่งตามศูนย์การค้าและดิสเคานต์สโตร์ อาทิ สยามพารากอน ภายใต้งบประมาณ 3.5-4 ล้านบาท จากปัจจุบันบริษัทฯ มีร้านทั้งหมด 85 แห่ง แบ่งเป็นเบ็ท-เทอร์วิชั่นที่เปิดเฉพาะในศูนย์การค้าใหญ่ 22-23 แห่ง และมีกลุ่มเป้าหมาย ระดับบน ส่วนร้านหอแว่นจะเน้นเปิด ตามดิสเคานต์สโตร์ และมีกลุ่มลูกค้า ระดับกลางถึงล่าง

ผลประกอบการปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ากว่า 700 ล้านบาท เติบโต 15-20% แบ่งเป็นสัดส่วนยอดขาย หอแว่นและเบ็ทเทอร์ วิชั่นอย่างละ 50% ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา พบว่ายอดขายสะดุดไป โดยเฉพาะเดือนมิ.ย.ที่ยอดโตต่ำกว่าเป้าหรือ 10% จากการที่รัฐบาลรณรงค์ให้ประหยัด พลังงานและเรื่องราคาน้ำมัน

ขณะที่ตลาดรวมของแว่นตาในไทยมีมูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาทและมีอัตราการเติบโต 8% โดยบริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาด 18% และ อยู่อันดับ 2 ในตลาดรองจากท็อป-เจริญ


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.