น้ำมันแพงตลาดคอนโดฯรุ่งชี้คนแห่ซื้อหวังลดค่าเดินทาง


ผู้จัดการรายวัน(22 กรกฎาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

L.P.N. มองต่างมุม ชี้น้ำมันแพงค่าเดินทางขึ้น ส่งผลด้านบวกแก่ตลาดคอนโดฯใกล้ Mass Transit เหตุไม่อยากเดินทางไกล ระบุยอดขายโครงการที่ใกล้ระบบขนส่งมวลชนพุ่งสูง แจงยอดขายครึ่งปีแรก 3,100 ยูนิต มูลค่า 5,350 ล้านบาท

นายทิฆัมพร เปล่งศรีสุข กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความผันผวนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการ ปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันที่เป็นปัจจัยสำคัญ ส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจและตลาด หุ้นโดยรวมนั้น ในส่วนของ L.P.N. ซึ่งจาก การประเมินของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของบริษัท พบว่า การปรับขึ้นของราคาน้ำมัน เป็นตัวสร้างความต้องการในตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลาง ที่ตั้งอยู่ทำเลที่แวดล้อมด้วยระบบการคมนาคมขนาดใหญ่ (Mass Transit) เพิ่มมากขึ้น ทั้งความต้องการเพื่อการอยู่อาศัยจริง และเพื่อการ ลงทุนในระยะยาวอย่างการปล่อยเช่า

"ไม่ว่าราคาน้ำมันจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงใด ประเด็นสำคัญคือ การรู้ว่าตนเอง กำลังทำอะไรอยู่ กำลังขายอะไรให้ใคร เมื่อใด ที่เรามองกลุ่มเป้าหมายออก วางตำแหน่ง ตัวสินค้าได้ถูกต้อง สามารถประเมินกำลังซื้อของลูกค้าว่ามีมากน้อยเพียงใด น้ำมันจะแพงแค่ไหน การซื้อยังคงดำเนินไปได้ น้ำมันปรับ ตัวขึ้น ถ้ามองในแง่ลบ แน่นอนว่าต้องส่งผลกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างและราคาอสังหาฯ ที่เพิ่มขึ้นแต่ถ้ามองในแง่บวกราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ส่งผลทางจิตวิทยาให้คนมองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่เพิ่มมาก ขึ้น 30-50 % เพื่อนำไปทดแทนภาระต่างๆ ที่จะเพิ่มขึ้นจากการปรับตัวของราคาน้ำมัน ซึ่ง เชื่อว่าที่อยู่อาศัยในเมืองที่แวดล้อมด้วยระบบขนส่งจะเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจซื้อ มากขึ้น"

สำหรับภาวะอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อ ที่อยู่อาศัย ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งต่างจัดแคมเปญในอัตราดอกเบี้ยที่พิเศษ เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อมากขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีความน่าเชื่อถือและ มีความเสี่ยงต่ำ โดยศึกษาจากยอดขายที่สมดุลกับปริมาณความต้องการที่เกิดขึ้น รวมถึง ยังเห็นว่า ความผันผวนของเศรษฐกิจในปัจจุบันกลับเป็นผลดีต่อธุรกิจอสังหาฯ ที่ ช่วยปรับสมดุลปริมาณสินค้าในตลาดไม่ให้มีมากจนเกินไป รวมถึงธนาคารมีความเข้มงวดในเรื่องการปล่อยสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการมากขึ้น โดยเน้นการปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการที่มีความน่าเชื่อถือเท่านั้น

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของบริษัทมียอดขายรวม 3,400 ยูนิต คิดเป็น 5,840 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายของ L.P.N. จำนวน 3,100 ยูนิต มูลค่า 5,350 ล้านบาท และของบริษัทแกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด (Grand U) ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 33.33% จำนวน 300 ยูนิต มูลค่า 490 ล้านบาท

โดยในช่วงครึ่งปีหลัง L.P.N. ตั้งเป้า ยอดขาย 1,000 ยูนิต มูลค่า 1,500 ล้านบาท และ Grand U ตั้งเป้ายอดขายครึ่งปีหลัง 725 ยูนิต 1,000 ล้านบาท รวมยอดขายทั้งปี 8,340 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายรวมของ L.P.N. 6,850 ล้านบาท และยอดขายรวมของ Grand U 1,490 ล้านบาท ส่วนยอดรับรู้รายได้ของ L.P.N. ในครึ่งปีแรกประมาณ 1,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2547 โดยบริษัทเชื่อว่าในครึ่งปีหลัง จะสร้างยอดขายได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ข้างต้น

นายทิฆัมพรกล่าวถึงแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังว่า การทำงานของ L.P.N. จะมีการวิเคราะห์และปรับแผนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบริษัทฯ ไม่มีนโยบายที่จะซื้อที่ดินเก็บไว้ เพราะต้องการให้การลงทุนของบริษัทสามารถปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ ในครึ่งปีหลัง บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่อีก 1 โครงการ โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวโครงการรวมทั้งสิ้น 4 โครงการ ได้แก่ 1) ลุมพินี เซ็นเตอร์ แฮปปี้แลนด์ เฟส 5 อาคารชุดพักอาศัยสูง 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 442 ยูนิต มูลค่า 390 ล้านบาท มียอดขายคิดเป็น 72% 2) ลุมพินี เพลส ปิ่นเกล้า อาคารชุดพักอาศัยสูง 22 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 580 ยูนิต มูลค่า 1,097 ล้านบาท มียอดขายคิดเป็น 93% 3) ลุมพินี วิลล์ ศูนย์วัฒนธรรม อาคารชุดพักอาศัยสูง 8 ชั้น 9 อาคาร จำนวน 1,324 ยูนิต มูลค่า 1,900 ล้านบาท มียอดขายคิดเป็น 60% และ 4) ลุมพินี เพลส นราธิวาส-เจ้าพระยา อาคารชุดพักอาศัยสูง 29 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 1,306 ยูนิต มูลค่า 3,500 ล้านบาท มียอดขาย 55%


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.