|
ราคาน้ำมันขึ้น อเมริกันไม่เดือดร้อนหรือไร...
โดย
มานิตา เข็มทอง
นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบไปทั่วทุกมุมโลก ทำให้ราคาน้ำมันในอเมริกาในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นถึง 27.4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยราคา (แบบธรรมดา 87) เฉลี่ยอยู่ที่ 2.3 เหรียญสหรัฐต่อแกลลอน หรือประมาณ 24-25 บาทต่อลิตร แต่ทำไมชาวอเมริกันโดยรวมไม่เดือดร้อน...
การจับจ่ายใช้สอยยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากตัวเลข Comsumer Price Index (CPI) ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่อยู่ที่ 3.3% และการบริโภคสินค้าของคนอเมริกันยังคงเพิ่มขึ้น 3.3% ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ นักวิเคราะห์หลายคนทำนายว่าเศรษฐกิจของอเมริกาจะโตแบบช้าๆ ในช่วงปีนี้และปีหน้า ซึ่งจะช่วยลดความกดดันของภาวะเงินเฟ้อได้
จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่อเมริกันไม่เดือดร้อนซะทีเดียว ชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อย พวกเขาก็ได้รับผลกระทบเฉกเช่นประชากรที่มีรายได้น้อยในมุมโลกอื่น เพียงแต่ในอเมริการาคาน้ำมัน ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเป็นเวลาประมาณ 2 ปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่มพุ่งพรวดแบบข้ามคืนเหมือนสมัยที่ตะวันออกกลาง Embargo อเมริกาเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ในตอนนั้นเรียกว่า อเมริกันขาดแคลนน้ำมันอย่างเฉียบพลัน เกิดความโกลาหล เศรษฐกิจตกฮวบ มีเพื่อนคนหนึ่งเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นที่เขาจำได้แม่นว่า สถานการณ์ขาดแคลนน้ำมันแย่มาก ขนาดที่ต้องมีการตั้งกฎแบ่งวันเติมน้ำมันตามเลขทะเบียนรถยนต์ที่ลงท้ายด้วยเลขคู่หรือเลขคี่ แต่สำหรับวิกฤติการณ์นี้ พวกเขารับรู้ว่าทรัพยากรยังมีเพียงพอ เพียงแต่ราคาสูงขึ้น ซึ่งเริ่มเป็นความเคยชินกับค่าครองชีพที่สูงอยู่แล้ว เคยชินกับค่าแรงที่สามารถจับจ่ายได้อย่างไม่เดือดร้อนตามอัตภาพ...แต่จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน ไม่มีใครตอบได้...
คนอเมริกันในยุคปัจจุบันยังไม่เคยเผชิญหน้ากับวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่รุนแรง ซึ่งแตกต่างจากคนในช่วง Great Depression (ปี 1929-1939) และช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อเมริกาเริ่มเข้าไปเกี่ยวข้องในปี 1941 ซึ่งคนอเมริกันที่ผ่านวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่รุนแรงในยุคนั้น ยังคงมีความทรงจำที่ฝังใจกับความยากลำบากแสนเข็ญที่ต้องเผชิญ ดังนั้นพวกเขาจะมีพฤติกรรมที่ประหยัดและระมัดระวังในการจับจ่ายหรือใช้พลังงานอยู่แล้ว ซึ่งคนเหล่านี้ก็อยู่ในวัยปู่ย่าตายายของชาวอเมริกันรุ่นใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์ที่ยากเข็ญมาเลยในช่วง 50-60 ปีที่ผ่านมา จะมีก็ช่วงสั้นๆ เมื่อครั้งที่ขาดแคลนน้ำมันในปี '70s เท่านั้น
คนอเมริกันรุ่นหนุ่มสาววัยทำงานส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังคงเคยชินกับวิถีชีวิตที่เป็นอยู่ เนื่องจากราคาของน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในวันนี้ยังไม่ถึงจุดที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าแตกต่างจากที่เคยเป็นอยู่อย่างมาก เช่น ปีที่แล้วเคยจ่ายค่าน้ำมันที่ 480 เหรียญฯ ปีนี้จ่ายเพิ่มอีกประมาณ 120 เหรียญฯ เป็น 600 เหรียญฯ ก็ยังไม่ถือว่ามีความแตกต่างจนน่าตกใจ ไม่เหมือนในประเทศไทยที่เคยจ่ายเต็มถังครั้งละ 500-600 บาท เมื่อปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันพุ่งขึ้นเท่าตัวเป็นหลักพัน นี่เรียกว่าเข้าข่ายวิกฤติ เมื่อเทียบกับรายได้ของประชาชน แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าอเมริกาคือ คนไทยยังขับรถกันล้นถนนอยู่ดี...
สำหรับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในอเมริกาก็ขึ้นกันปกติตามข้ออ้างของผู้ประกอบการที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าวัตถุดิบ ค่าขนส่ง ที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ ไม่มีอะไรน่าตกใจ รัฐบาลกลางอเมริกันไม่มีการออกนโยบายรณรงค์ประหยัดพลังงานเหมือนในบ้านเรา ซึ่งเมืองไทยเรายังมีข้อดีตรงนี้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่แน่ใจว่า เกาได้ถูกที่คันหรือเปล่า...
ในช่วงปีหนึ่งที่ผ่านมาของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รถประเภท SUV คันโตๆ ซดน้ำมันเป็นว่าเล่น ยังมีให้เห็นดาษดื่นบนท้องถนนในอเมริกา ไม่เหมือนท้องถนนในยุโรปหรือประเทศในเอเชียบางประเทศ ที่ส่วนใหญ่มีแต่รถคันเล็กๆ กะทัดรัดคันหนึ่งนั่งกันไปหลายคน ดูแล้วน่าชื่นชม... ไม่เห็นเหมือนในอเมริกาเลย ที่ไม่ว่าเมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ มีแต่คนขับรถคันใหญ่ๆ มองไปในรถ มีแค่คนขับเพียงคนเดียว หรืออย่างมากก็มีเด็กนั่งอยู่ในเบาะพิเศษด้านหลังอีกหนึ่งคนเท่านั้น เห็นแล้วหดหู่ใจ... แต่ยังไม่หมดหวังซะทีเดียว ยังมีอเมริกันอีกหลายคนที่ใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงที่ยังไม่สิ้นสุดนี้ พวกเขาเริ่มมีการวางแผนการใช้จ่ายใหม่
สำหรับคนที่ต้องการซื้อรถใหม่ก็เริ่มมองหาทางเลือกอื่น ไม่ยึดติดอยู่กับรถประเภท SUV เหมือนในอดีต หันมาใช้รถคันเล็กลง หรือรถ Hybrid จากค่ายญี่ปุ่น เพื่อเป็นการประหยัดน้ำมันและสตางค์ในกระเป๋า ซึ่งปรากฏการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างแรงต่อดีทรอยต์ ศูนย์กลางของผู้ผลิตรถยนต์ค่ายอเมริกันรายใหญ่ๆ โดยเฉพาะค่าย Ford Motor และ General Motors ที่เคยผูกขาดตลาดรถยนต์ขนาดใหญ่ สร้างรายได้จากการจำหน่ายรถ SUV ปีละหลายแสนคัน ต้องเผชิญกับส่วนแบ่งตลาดที่ต้องสูญเสียมากขึ้นให้กับรถ Hybrid ค่ายญี่ปุ่นที่ล้ำหน้ามาหลายปี และมีประสิทธิภาพมากกว่าในภาวะปัจจุบัน
ค่ายรถยนต์แบรนด์อเมริกันเหล่านี้ต้องปรับตัวเองให้รองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในระยะยาวนี้ด้วย เช่นปีก่อน Ford Motor ออกตัวรถยนต์ Hybrid ตัวแรกคือ Ford Escape Hybrid ซึ่งยังคงเป็น SUV แต่เป็นเครื่องยนต์ Hybrid ผสมระหว่างแกสกับไฟฟ้า ในราคาเริ่มต้นที่ 26,970 เหรียญฯ สำหรับระบบขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า และที่ราคาเริ่มต้น 28,595 เหรียญฯ สำหรับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และกำลังจะออก Hybrid ตัวที่สอง คือ Mercury Mariner Hybrid ในปลายปีนี้ด้วย
ตอนนี้คนที่อยากได้มาก สามารถเข้าไปจองออนไลน์ได้แล้วในราคาเริ่มต้นที่ 29,840 เหรียญฯ นอกจากนั้นแบรนด์อื่นๆ ก็เริ่มมีรุ่น Hybrid ออกมาแข่งกันในตลาดรถยนต์ของอเมริกาในยุคนี้อีกด้วย อีกทางเลือกหนึ่งให้แก่ผู้บริโภคที่ไม่ใช่ห่วงแต่ค่าน้ำมันเพียงอย่างเดียวแต่ยังห่วงในเรื่องของสิ่งแวดล้อมด้วย
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|