แกรมมี่แยกธุรกิจมีเดียเข้าตลท. เตรียมขอรับสัมปทานจากกสช.


ผู้จัดการรายวัน(2 สิงหาคม 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

"ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม" ประธานแกรมมี่ ประกาศแยกกลุ่มธุรกิจมีเดียออกจากจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ โดยให้เอไทม์ มีเดีย เข้าซื้อ กิจการบริษัทมีเดียในเครือ เพื่อแต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ปลายปีนี้

โดยใช้ชื่อใหม่ว่า "จีเอ็มเอ็ม มีเดีย" หวังระดมทุนเพื่อขอรับสัมปทานธุรกิจวิทยุ และโทรทัศน์จากกสช. เผยหากขยายธุรกิจภาพยนตร์และอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น ก็จะนำบริษัทเข้าตลาดอีกเช่นเดียวกัน

นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แกรมมี่อยู่ระหว่างเตรียมการเพื่อแยกกลุ่มธุรกิจมีเดียออกจากจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ โดยจะให้บริษัท เอไทม์

มีเดีย จำกัด ซึงเป็นผู้ดำเนิน ธุรกิจวิทยุ เข้าซื้อกิจการของบริษัทในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่ ทำธุรกิจด้านมีเดียเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ บริษัทที่ประกอบกิจการด้านสื่อโทรทัศน์ ประกอบด้วย แกรมมี่เทเลวิชั่น,

เอ็กแซ็กท์ ซึ่งเป็นผู้ผลิต รายการละคร, แมสมอนิเตอร์ ผู้ผลิตรายการเกมโชว์, ทีนทอล์ก ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์,เลมอนกราส โปรดักชั่นส์,เวอร์เทกซ์ วิชั่น ส่วนบริษัททางด้านสื่อวิทยุ ประกอบด้วย เรดิโอ

คอนเซ็ปต์", มาสเตอร์ แพลน , แกรมมี่ ไดเร็คท์ และสื่อสิ่งพิมพ์ คือ บริษัท อิมเมจ พับลิชชิ่ง ซึ่งทำธุรกิจนิตยสารอิมเมจ และสำนักพิมพ์อิมเมจ เป็นต้น ซึ่งหลังจากซื้อกิจการเรียบ ร้อยแล้ว

ก็จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือตลาดหลักทรัพย์ใหม่ แต่จะใช้ชื่อบริษัทใหม่ว่า บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) โดยมีจีเอ็ม เอ็ม

แกรมมี่ถือหุ้น 80% และอีก 20% จะกระจายให้แก่ประชาชนทั่วไป คาดว่าจะเข้าตลาดได้ภายใน ปลายปีนี้ นายไพบูลย์ กล่าวว่า การนำกลุ่มธุรกิจมีเดียเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้

เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจมีเดียของ แกรมมี่ มีผลกำไรและสามารถเลี้ยงตัวเองได้แล้ว โดยปี 2544 ธุรกิจมีเดียมีรายได้เกือบ 1,000 ล้าน บาท

และมีแนวโน้มว่าสัดส่วนรายได้ที่มาจากธุรกิจมีเดียจะเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งการเติบโตและการ บริหารงานของธุรกิจมีเดียในปัจจุบันก็ไม่เกี่ยวพันธ์กับธุรกิจเพลงมากนัก

ในขณะที่ธุรกิจเพลงซึ่งมีเพลงที่เป็นลิขสิทธิ์นับหมื่นเพลง นับเป็นมูลค่ามหาศาล ที่ทางบริษัทก็ไม่อยากให้มูลค่าใน ส่วนนี้ต้องปะปนอยู่กับธุรกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเพลง และที่สำคัญก็คือ

เป็นการสร้างความชัดเจนในการทำธุรกิจให้แก่นักลงทุน ที่รู้ว่ากำลังลงทุนทำธุรกิจอะไร สำหรับการนำธุรกิจมีเดียเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในครั้งนี้

เนื่องจากเป็นการระดมทุนเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจหลังจากที่ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ หรือกสช. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยบริษัทจะนำเงินที่ระดมเงินทุนได้มาใช้ในการ ขอรับสัมปทานกิจการวิทยุและโทรทัศน์จากกสช. ทั้งในการขอรับสัมปทานคลื่นวิทยุ และการบริหาร สถานีโทรทัศน์ ซึ่งเชื่อว่าบริษัทมีความพร้อมทั้งเงินทุน

ศักยภาพ และความเชี่ยวชาญในธุรกิจทั้งสองประเภทเป็นอย่างดี "การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯยังส่งผลดีต่อบริษัท ที่นอกจากจะเป็นการระดมทุนเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจแล้ว ยังช่วยให้บริษัทได้รับการลด

หย่อนภาษีลงจากเดิมที่จะต้องเสียภาษีปีละ 30% เป็น 20% และบริษัทกำลังเจรจาเพื่อจะขอให้ลดอัตราการเสียภาษีลงเหลือ 15% ซึ่งหากคิดเฉพาะส่วนต่างที่ลดลงจากการได้รับการลดหย่อน

อัตราการจัดเก็บภาษีเพียง 10% จะทำให้บริษัทประหยัดเงินส่วนนี้ไปได้ 20-30 ล้านบาทต่อปี" นอกเหนือจากธุรกิจมีเดียแล้ว แกรมมี่ยังมี แผนที่จะนำธุรกิจกลุ่มอื่นเข้าตลาดหลักทรัพย์หาก

กิจการขยายตัวเพิ่มขึ้น อาทิ ธุรกิจภาพยนตร์ ซึ่ง ปัจจุบันแกรมมี่มีภาพยนตร์อยู่ในมือประมาณ 10 เรื่อง และยังได้หับ โห้ หิ้น

เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรในการผลิตภาพยนตร์ป้อนให้แกรมมี่เพียงค่ายเดียวอีกด้วย

ซึ่งหากในอนาคตธุรกิจภาพยนตร์ของแกรมมี่ขยายตัวก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์เช่นเดียวกับเอไทม์ มีเดีย รวมทั้งธุรกิจอินเทอร์เน็ต ที่มี บริษัท อีโอ ทูเดย์ ดอทคอม เป็นผู้บริหาร

โดยคาดว่าในปีนี้จะมีกำไรจากธุรกิจอินเทอร์เน็ตประมาณ 15-20 ล้านบาท นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ปีนี้นับได้ว่าเป็นปี ทองของแกรมมี่ในด้านผลการดำเนินงาน เนื่องจากผลกำไรของ บริษัท

จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ในช่วง ไตรมาสแรกของปีนี้ เท่ากับกำไรของปี 2544 ตลอดทั้งปี และกำไรในช่วงไตรมาสที่สองก็ยังเพิ่มขึ้น และคาดว่าไตรมาสที่สามก็จะมีกำไรเป็น ที่น่าพอใจเช่นเดียวกัน

ซึ่งผลกำไรที่เพิ่มขึ้นนี้เป็น ผลมาจากการที่แกรมมี่ได้ลดราคาซีดีและวีซีดีลง เหลือแผ่นละ 155 บาทเมื่อกลางปี 2544 ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จนปัจจุบันสัดส่วนการขายซีดีและวีซีดี

คิดเป็นสัดส่วน 60% และเทปมีเพียง 40% จากที่ก่อหน้านี้การขายซีดีและวีซีดี มีสัดส่วนเพียง 10% ส่วนเทปมีถึง 90% "การที่ยอดขายซีดีและวีซีดีเพิ่มขึ้นส่งผลให้ บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น เพราะการขายซีดี

วีซีดี จะได้กำไรดีกว่าการขายเทป" นอกจากนี้ ผลกำไรที่มากขึ้นเป็นผลมาจากการลดการขาดทุนของบริษัท จีเอ็มเอ็ม 8866 จำกัด ในไต้หวัน จากปีก่อนที่มียอดขาดทุนสะสม 200 ล้านบาท

ในปีนี้คาดว่าจะมีกำไร ส่วนบริษัทอีโอ ทูเดย์ ก็คาดว่าจะมีกำไร 15-20 ล้านบาท การปิดบริษัทที่ไม่ทำกำไร และการที่เศษฐกิจ โดยรวมของประเทศดีขึ้นส่งผลให้อัตราการลงโฆษณาในรายการวิทยุของเอไทม์มีเดีย เติบโต 20% ส่วนโฆษณาในรายการโทรทัศน์ของแกรมมี่ก็เติบโตขึ้น 10% จึงทำให้ปีนี้ถือเป็นปีที่ดีที่สุดของแกรมมี่



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.