"คุณสุทธิชัยพูดกับพวกเราว่า เวลาออกไปพูดข้างนอกไม่ให้พูดว่ามีการแตกแยกกันในเรื่องนี้
นักข่าวของเดอะ เนชั่น ผู้หนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในกองบรรณาธิการของ
เดอะ เนชั่น
ภายหลังที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า เท่ห์ จงคดีกิจ จะมาร่วมกับเดอะ
เนชั่น เหตุของความไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของสุทธิชัยในเรื่องนี้ก็เพราะ
ภาพพจน์ของเท่ห์ในสายตาของนักข่าวเนชั่นหลายๆ คนที่มีปฏิกิริยาในเรื่องนี้คือ
คนที่ไม่มีจุดยืน ไม่มีหลักการของนักหนังสือพิมพ์อย่างแท้จริง แล้วคนอย่างสุทธิชัยซึ่งประกาศอยู่เสมอมาว่า
เนชั่นเป็นอิสระ เป็นหนังสือพิมพ์ที่ยึดถือหลักการ ตัดสินใจออกไปเช่นนั้นได้อย่างไร
"ผมไม่เคยได้ยินใครพูดถึงคุณเท่ห์ด้วยความนับถือเลย" นักข่าวรายเดิมว่าต่อไป
หลายๆ
คนในกองบรรณาธิการเดอะ เนชั่น เชื่อว่า สุทธิชัยกับเท่ห์ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา
ไม่ถึงกับจะเป็นเพื่อนหรือมีความเข้าอกเข้าใจกันหรอก
ตอนที่แข่งกันความรู้สึกในใจคงจะดุเดือดพอสมควรเวลาที่สุทธิชัยพูดย้อนไปถึงอดีต
เรื่องหนึ่งที่เขามักจะหยิบยกขึ้นมาคือเหตุการณ์ที่ว้อยซ์ ออฟ เดอะ เนชั่น
ถูกปิดเมื่อ 6 ตุลาคม 2519
โดยเปรียบเทียบกับบางกอกโพสต์ว่า เนชั่นต้องวิ่งแทบตาย ในขณะที่บางกอกโพสต์เปิดได้อย่างสบาย
และมักจะบอกว่าเดอะ เนชั่น ยึดหลักวิชาชีพหนังสือพิมพ์ แม้จะไม่ได้กล่าวออกมาตรงๆ
แต่ก็มีนัยอยู่ว่า บางกอกโพสต์หรือตัวเท่ห์เองไม่ยึดหลักวิชาชีพ ความรู้สึกของนักข่าวเนชั่น
ในวินาทีแรกที่สุทธิชัยประกาศว่าเท่ห์จะมาคือ "ไม่มีใครเชื่อ เราบอกว่าตลกดี"
คำอธิบายของสุทธิชัยต่อเพื่อนร่วมงานกรณีนี้คือ เท่ห์มาเพื่อภาพพจน์ของเครือเนชั่น
เพราะถึงเท่ห์จะเป็นคนเช่นไรในสายตาของคนในวงการก็แล้วแต่
แต่ประสบการณ์และชื่อเสียงของเขาก็นับว่าเป็นสิ่งที่มีค่าและมีประโยชน์ต่อเครือเนชั่น
ตรงนี้เองที่คนในกอง บ.ก.เนชั่นเข้าใจว่าเป็นเหตุผลทางธุรกิจไม่ใช่เหตุผลในเรื่องหลักการวิชาชีพหนังสือพิมพ์
เพราะสุทธิชัยเองก็หลุดปากออกมาว่า หลักวิชาชีพนั้นเป็นเรื่องที่คนข้างนอกไม่สนใจเป็นบทเรียนที่ขมขื่นของเขา
ในช่วงที่เท่ห์เข้าไปอยู่เดอะ เนชั่น ใหม่ๆ มีอยู่วันหนึ่งที่เท่ห์ออกไปทำข่าวกับสุทธิชัย
หยุ่น
และนักข่าวสายธุรกิจสองคนออกไปทำข่าวเกี่ยวกับบริษัทธุรกิจแห่งหนึ่ง พอสัมภาษณ์ผู้บริหารของบริษัทแหงนั้นเรียบรอยแล้ว
เท่ห์ก็พูดถึงเรื่องการทำซัพพลีเมนท์ให้กับบริษัทนั้นทันทีซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดหลักการในการแยกการทำข่าวและการหาโฆษณาออกจากกัน
อันเป็นสิ่งที่สุทธิชัยประกาศว่าเป็นนโยบายของเดอะ เนชั่น
ตลอกมา อย่างไรก็ตาม นักข่าวที่ไม่เห็นด้วยกับการรับเท่ห์เข้ามาก็มีอยู่ไม่ถึงสิบคน
คนอื่นๆ ส่วนมากไม่มีปฏิกิริยาอย่างใด
ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้ที่ไม่รู้จักประวัติของเท่ห์มากไปกว่าเป็นอดีตบรรณาธิการบางกอกโพสต์
และเป็นพ่อของ "ปุ๊ อัญชลี จงคดีกิจ เท่านั้น คนในวงการหนังสือพิมพ์หลายๆ
คนยังเชื่อว่า
ลึกลงไปในใจของสุทธิชัยแล้วการรับเท่ห์มาอยู่กับเดอะ เนชั่น เป็นชัยชนะส่วนตัวของสุทธิชัยเองที่มีต่อทั้งบางกอกโพสต์และต่อเท่ห์ที่คนที่เคยขับเคี่ยวกันมาเกือบ
20 ปี
ต้องยอมรับเข้ามาสยบอยู่เบื้องหน้า และเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสุทธิชัย
หลังจากนั้นเท่ห์จะเป็นอย่างไร จะอยู่ได้หรือไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะตัวเองชนะแล้ว
แต่สำหรับคนในกองบรรณาธิการเดอะ เนชั่น กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่นที่มีต่อตัวสุทธิชัยและนโยบายของเดอะ
เนชั่น
กำลังสั่นคลอนอย่างหนักพวกเขากำลังติดตามและทบทวนในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด
บางคนถึงกับพูดออกมาว่า "อยู่มาตั้งนาน ไม่เคยคิดว่าจะต้องออก" ผู้จัดการ"
ขออนุญาตนำความในใจของสุทธิชัยต่อการรับเท่ห์เข้ามาอยู่ในเครือเนชั่น ที่เจ้าตัวเปิดเผยเผยอออกมาในท่าทีที่เอาจริงเอาจัง
เสนอลง ณ ที่นี้ จุดแรกที่จะต้องตอบก็คือว่าการที่คุณเท่ห์มาที่นี่
หรือใครก็ตามมาที่นี่ ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงนโยบายเนชั่นได้ มันดูถูกเรามากไปหน่อย
การที่คุณเท่ห์มาแล้วจะเปลี่ยนนโยบายเนชั่นได้ การที่คุณเท่ห์มาก็เห็นด้วยกับนโยบายเนชั่น
ไม่เเช่นนั้นก็คงไม่มา เราอยู่บ้านดีๆ มีคนมาเคาะประตูว่าขอมาอยู่ด้วย ผิดหรือที่เราจะรับคนที่มีปัญหา
ในวงการของเราด้วยแล้วเนประเด็นปัญหาเดียวกับที่ผมพูดมาตลอดก็คือว่า
เมื่อไรหนังสือพิมพ์ฉบับนี้จะมีนโยบายให้คนไทยขึ้นมาบริหารเองแล้วก็ให้มีสิทธิมีเสียงเต็มที่เสียที
นั่นเป็นสิ่งที่ผมพูดมา 18 ปี เนชั่นเป"ดมา 18 ปีก็เพราะเหตุผลต่างๆ
เหล่านี้ว่าเมื่อไรจะเลิกเสียทีที่มีฝรั่งมานั่งกินเงินเดือนมากกว่าคนไทยหลายเท่าตัวทำงานน้อยกว่า
แล้วก็มีบทบาทอะไรมากกว่า คุณเท่ห์อกมาด้วยประการฉะนี้ ตรงนี้ครับที่เข้าใจกันได้
ปัญหาที่แกเผชิญอยู่คือปัญหาที่เราได้ซาบซึ้งมาโดยตลอด พอแกพูดประโยคนี้ผมก็เข้าใจ
เห็นใจทันทีเลย แกบอกขอมาทำงานด้วยได้ไหม ก็เชิญเข้ามานั่งลงคุยกัน
ถามว่าจะมาทำงานร่วมกับเราได้หรือแล้วพูดให้ฟังว่าเนชั่นเป็นอย่างไร แกก็บอกว่าได้
ขณะเดียวกันเราก็นับถือคุณเท่ห์ เพราะทำงานมา 40 กว่าปีประสบการณ์ก็มี คนก็รู้จัก
คุณเท่ห์ไม่ได้ชั่วร้ายอย่างที่บางคนคิดคุณเท่ห์นั้นเป็นคนดี เป็นคนที่อยู่กับข่าว
อยู่กับชีวิตหนังสือพิมพ์มาโดยตลอด คุณจะเห็นด้วยกับวิธีการทำงานของแกหรือไม่ก็ตาม
ต้องอย่าลืมว่าแกเป็นคนที่มีประสบการณ์มากที่สุดคนหนึ่ง แล้วอย่าลืม ก่อนหน้านี้มีใครเคยวิจารณ์คุณเท่ห์อย่างนี้ไหม
ไม่มีแม้กระทั่งคนที่โพสต์ด่าไล่หลังคุณเท่ห์ เคยพูดไหม
คนที่พูดว่าคุณเท่ห์ออกมาอย่างนี้ตบหน้าสถาบันโพสต์ ตบหน้าตัวเองนี่ ต้องถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นที่โพสต์
ถ้าคนที่อยู่ถึง 42 ปีแล้วตัดสินใจออก มันต้องมีสาเหตุอะไรที่ร้ายแรงและรุนแรงมาก
ถึงขั้นที่เขาออกมาและในตำแหน่งนั้นด้วย เกิดอะไรขึ้นที่โพสต์ ถึงรักษาคนอย่างคุณเท่ห์ที่อยู่มา
42 ปีไม่ได้ ผมไม่ได้ไปชักชวน ผมไม่ได้ไปแหย่ อย่างที่ ผู้จัดการรายสัปดาห์"
พยายามจะเขียนว่าคุณเท่ห์อารมณ์กำลังอ่อนไหวอยู่ ผมไปฉวยโอกาสทางธุรกิจ
ไปดึงเขามา พูดอย่างกับว่าคุณเท่ห์เป็นเด็กสาวอายุ 18 แล้วผมไปหลอกต้มมานอนเตียงกับผมได้
นี่เป็นการดูถูกคุณเท่ห์ ดูถูกผม ดูถูกทุกคนที่เกี่ยวข้อง สำหรับผมเหตุผลที่รับคุณเท่ห์ไม่เกี่ยวกับธุรกิจใดๆ
ทั้งสิ้น ถ้าพูดถึงเหตุผลทางธุรกิจนะครับ ถ้าผมชั่วร้ายอย่างที่คนมองนะครับ
ผมควรจะให้คุณเท่ห์อยู่ที่โพสต์ต่อไป เพราะว่าโครงสร้างนั้นก็สึกกร่อน คุณเท่ห์อยู่ต่อไปก็จะมีปัญหากับฝรั่ง
ฝรั่งกับคนไทยก็ต้องซัดกัน ก็จะต้องหา บ.ก.ใหม่ ฝรั่งก็จะพยายามให้คุณเท่ห์ออก
คุณเท่ห์ก็จะพยายามให้ฝรั่งออก ก็จะต้องซัดกันนัวเนีย แต่ที่ผมรับคุณเท่ห์ก็เพราะว่า
สำหรับคนทำหนังสือพิมพ์ด้วยกันมาถึงจุดหนึ่งเข้าใจว่าความลำบากในเรื่องนี้มีมากขนาดไหน
แล้วเมื่อเราคิดว่าเราสามารถจะทำอะไรให้คนหนังสือพิมพ์คนหนึ่งที่ผ่านมาเยอะขนาดนี้ให้เกิดความสบายใจ
มองเห็นว่า ในวงการนี้ยังมีคนเข้าใจเขาทำไมผมจะไม่ทำ ในเมื่อผมเคยทำงานกับคุณเท่ห์
วิชาชีพหนังสือพิมพ์ผมก็เริ่มจากที่โพสต์ คุณเท่ห์ก็เป็นหัวหน้าผม เป็นคนรับผมเข้าไปทำงานทำไมด้วยน้ำใจนี้
ผมจะทำไม่ได้ ถ้าบอกว่าคุณเท่ห์อยู่ในภาวะจิตใจว้าวุ่นแล้วผมไปฉวยโอกาสตอนนั้น
คงจะพูดตลกเป็นลิเกไปหน่อย เพราะว่าอารมณ์นี้ที่จริงแกเป็นมาหลายสิบปีแล้วมั้ง
แกถูกฝรั่งบีบ ถูกอะไรต่ออะไรกดดัน หลายสิบปีแล้วมั้งที่จิตใจอ่อนไหวอย่างนี้มีบ่อยๆ
แต่ทำไมแกยังอยู่ต่อ
เพราะแกก็กัดฟันสู้มาโดยตลอด จนถึงจุดหนึ่งที่แกรับไม่ได้แล้ว ถ้าการมาของคุณเท่ห์จะพิสูจน์อะไรบางอย่าง
ก็คงพิสูจน์ข้อหนึ่งว่าเนชั่นได้พัฒนามาถึงจุดที่แม้กระทั่ง
บ.ก.ใหญ่ของโพสต์ก็พรอมที่จะมาทำงานโดยไม่รู้สึกขวยเขิน และภูมิใจด้วยที่จะมาอยู่กับกลุ่มที่กำลังบุกไปข้างหน้า
ในกอง บ.ก.นี่ บางคนก็มาถามว่าแล้วคนจะมองว่าเราเป็นธุรกิจหรือเปล่า
มาแล้วจะทำอะไร บทบาทเป็นอะไร ผมก็ชี้แจงไปว่าไม่ได้มาเกี่ยวกับงาน บ.ก.วันต่อวันหรอก
เพราะแกก็อายุมากลแล้ว ก็จะมาช่วยคุณธนาชัย ช่วยผมดูว่ามีโครงการอะไรใหม่ๆ
ที่จะเสริมตัวหนังสือ
หรือแกรู้จักคนมากก็อาจจะออกไปพูดแทนเนชั่นได้ทุกๆ ด้านไอเดียแกก็มีมากมาย
ประสบการณ์แกก็มีมาก ฉะนั้นก็ยังเป็นประโยชน์กับวงการนี้อยู่ ยังเป็นประโยชน์กับเนชั่นทั้งกลุ่มอยู่
ไม่มีอะไรที่เรามองแล้วว่าจะเสียหายต่อเนชั่น ทุกคนก็เข้าใจแกมาแล้วก็ไม่มีใครลำบากใจอะไร
ทุกคนก็ตอบคำถามกับคนข้างนอกทั้งนั้นว่า ที่เราทำนี้เพราะอะไร"