ฝรั่งทิ้งหุ้นไทยดิ่ง 21 จุด


ผู้จัดการรายวัน(8 กรกฎาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

หุ้นไทย-ทั่วโลกดิ่งหลังน้ำมันพุ่ง 61 เหรียญ ตลาดหุ้นไทยเจอ 2 เด้ง ปัจจัย "เศรษฐกิจตกต่ำ-ปิคนิค" ป่วนฉุดดัชนีรูด 3.27% หนักกว่าฮ่องกง-โตเกียว วงในชี้ต่างชาติเห็นบทวิเคราะห์ ซีแอลเอสเอ- เอบีเอ็นฯ ชิงทิ้งหุ้นก่อนหน้า 4-5 วันแล้ว "สมคิด" เตือนนักลงทุนอย่าตื่นตระหนก โต้ 2 โบรกฯ ทำนายเศรษฐกิจไทยเวอร์เกินไป เงินบาททำสถิติอ่อนค่ารอบ 10 เดือน เจพี (ไทย) แนะลอยตัวน้ำมัน-ก๊าซหุงต้ม ล่าสุดแบงก์กรุงศรีฯ ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทอีก 0.50%

ภาวะการลงทุนวานนี้ (7 ก.ค.) เปิดตลาดดัชนีหุ้นไทยลดลงทันที โดยมีแรงขายออกมาในหุ้นทุกกลุ่ม โดยเฉพาะหุ้นที่มีขนาดใหญ่ เช่น หุ้นปตท. (PTT), ธ.กรุงเทพ (BBL), หุ้นปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และ ธ.ไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นต้น หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่ง สูงแตะ 61 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลค่าเงินและตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับผลกระทบถ้วนหน้า

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยในประเทศซ้ำเติม จากกรณีที่สำนักวิจัยการตลาดภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของธนาคารเครดิตลียองแนส์ (ซีแอลเอสเอ) ประเมินอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ระดับ 3.5% และบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอบีเอ็น แอมโร ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยเหลือเพียง 2.8% อีกทั้งยังมีปัญหาหุ้นปิคนิค คอร์ปอเรชั่น (PICNI) มีปัญหาการชำระหนี้ตั๋วแลกเงิน (B/E) ดัชนีถึงกับรูดแตะระดับ 630 จุด เมื่อเวลา 16.22 น. ก่อนจะดิ่งลงไปต่ำสุด 637.92 จุด และขยับมาปิดที่ 638.31 จุดลดลง 21.60 จุด หรือ 3.27% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 23,827.09 ล้านบาท

ซึ่งถือว่าดัชนีปรับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน (11 พ.ย. 47 ดัชนีปิดที่ 627.34 จุด)

นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 5 จำนวน 1,808.84 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 1,742.28 ล้านบาทและนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 66.56 ล้านบาท

นายวิเชฐ ตันติวานิช ผู้จัดการตลาดเอ็มเอไอ กล่าวว่า เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเกิดความกังวลเกี่ยวกับ GDP ประเทศ หลังจากที่บริษัทหลักทรัพย์ เอบีเอ็น แอมโร ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับอัตราการเติบโตของ GDP โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในระดับ 2.8% เท่านั้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวโดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าอัตราการเติบโตจะอยู่ในระดับ ดังกล่าวอย่างที่บริษัทหลักทรัพย์แห่งนั้นออกบทวิเคราะห์

ทั้งนี้ แรงขายออกส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่มีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารส่งผลให้ดัชนีปรับลดลงอย่างหนัก

"นักลงทุนต่างชาติจะดูข้อมูลจากสื่อต่างชาติที่นำเสนอ การที่ข่าวในทางไม่ดีกับตลาดหุ้นออกไปก็ทำให้ต้องมีการปรับพอร์ตการลงทุน" นายวิเชฐกล่าว

อย่างไรก็ตาม วิธีการคำนวณอัตราการเติบโตของ GDP จะสามารถคำนวณได้ 2 วิธี คือวิธีแรกการคำนวณจากสถิติในอดีต และวิธีที่สองซึ่งเป็นวิธีที่รัฐบาลชุดนี้ใช้คือการกำหนดอัตราการเติบโตที่เหมาะสม ก่อนจะหาปัจจัยเพื่อมาเร่งและกระตุ้นเพื่อให้อัตราการเติบโตปรับขึ้นไปในระดับที่ต้องการ ซึ่งแม้ว่าล่าสุดจะมีการประเมินในระดับประมาณ 5% หรือต่ำกว่าแต่ระดับดังกล่าวก็ยังถือว่าเป็นที่น่าพอใจ

"ตัวเลข 2.8% ของการคาดการณ์ GDP ปีนี้ผมว่าไม่น่าจะเป็นจริง รัฐบาลนี้คงยอมรับไม่ได้" นายวิเชฐกล่าว

สำหรับปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันที่เข้ามากระทบต่อตลาดหุ้นทั้งใน SET และ mai ในฐานะผู้จัดการตลาดเอ็มเอไอได้มีการสอบถามเกี่ยวกับผลกระทบเรื่องดังกล่าวที่จะเกิดกับผลดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอ ได้คำตอบว่าการปรับขึ้นของราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่องจะส่งผลต่อผลดำเนินงานของบริษัทแต่คงไม่มากนัก เนื่องจากบริษัทมีการจัดการเกี่ยวกับปัจจัยเรื่องดังกล่าวไว้บ้างแล้ว

ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความโปร่งใสและธรรมาภิบาลบริษัท ได้มีการเรียกประชุมผู้บริหารเพื่อกำชับเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีงบการเงินให้มีความถูกต้องและมีความโปร่งใส สำหรับข้อกังวลเกี่ยวกับปัญหาการสร้างราคาหรือการปั่นหุ้น ในส่วนตลาดเอ็มเอไอเรื่องดังกล่าวคงเกิดขึ้นยาก

ทั้งนี้ ในส่วนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่น่าจะมีการเตรียมแผนเพื่อรองรับกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวกับต้นทุนเรื่องราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอยู่แล้ว

"ผมอยากเตือนนักลงทุนเกี่ยวกับการลงทุนในช่วงที่ข่าวทั้งดีและร้ายเข้ามามีผลต่อบริษัท หลายครั้งที่นักลงทุนเสียโอกาสเนื่องจากใช้ข่าวในการตัดสินใจมากกว่าใช้ข้อมูลเอกสาร นักลงทุนควรรอความชัดเจนและควรรอดูผลที่จะเกิดขึ้นก่อนจะเลือกลงทุน" ผู้จัดการตลาดเอ็มเอไอกล่าว

ฝรั่งอินไซด์ทิ้งหุ้น 5 วันซ้อน

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนวานนี้นอกจากกระแสข่าวความกังวลด้านเศรษฐกิจไทยแล้วตามห้องค้าโบรกเกอร์ยังเต็มไปด้วยกระแสข่าวลือมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นทรูคอร์ปอเรชั่น (TRUE) ซึ่งมีข่าวลือว่าจะมีการเพิ่มทุนนำเงินไปอุ้มบริษัทในเครือ ซึ่งบริษัทก็ได้ปฏิเสธข่าวว่าไม่จริง มีเพียงการออกใบสำคัญแสดงสิทธิให้กับกรรมการและพนักงานบริษัทฯ และบริษัทในเครือ

ส่วนหุ้นชินแซทเทิลไลท์ (SATTEL) มีข่าวพบสิ่งผิดปกติจากฐานยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ และบริษัทคาดใช้เวลาไม่นานในการตรวจสอบสถานการณ์การลงทุนจึงเต็มไปด้วยความปั่นป่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักลงทุนต่างประเทศเป็นผู้เทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก

นางสาวทัศมน วิทยารักษ์สรรค์ รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันนี้พบว่านักลงทุนต่างประเทศยังซื้อสุทธิประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจึงเชื่อว่านักลงทุนยังมีโอกาสที่จะเทขายได้อีก ถ้านักลงทุนต่างประเทศเห็นว่าปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไป โดยคาดว่าดัชนียังมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงต่อเนื่องได้อีกแต่ไม่มาก โดยมีแนวรับที่ 620 จุด

แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ เปิดเผยว่า เป็นที่น่าสังเกตว่านักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นไทยออกมาตลอด 5 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศได้รับรู้ข้อมูลบทวิเคราะห์การประเมินเศรษฐกิจไทยจะมีจีดีพีปีนี้ 2.8% มาก่อนที่เอกสารดังกล่าวจะเผยแพร่ต่อสาธารณชนวานนี้ "นักลงทุนต่างประเทศได้อินไซด์มาก่อนแล้วจึงทยอยขายหุ้นออกมา เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสม"

แหล่งข่าวกล่าวว่า เมื่อเอกสารเผยแพร่ออกมาวานนี้นักลงทุนต่างประเทศจึงเทขายหุ้นอย่างหนัก ประกอบกับมีปัจจัยเรื่องปัญหาบริษัทปิคนิคด้วยจึงทำให้ตลาดหุ้นไทยถึงกับซวนเซ

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นต่างประเทศที่ทรุดตัวลงจากพิษราคาน้ำมันพุ่งและค่าเงินอ่อน ตลาดหุ้นโตเกียวปิดที่ 11,590.14 จุด ลดลง 0.1% ส่วนตลาดหุ้น ฮั่งเส็ง ปิดที่ 14,030.81 จุด ลดลง 0.84%

เจพีฯ แนะลอยตัวน้ำมัน

นายอาจดนัย สุจริตกุล ประธาน บล.เจ.พี. มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด ราคาน้ำมันถือว่าเป็นสาเหตุหลัก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาต่างๆ การที่จะทำให้ราคาน้ำมันสะท้อนความจริงรัฐบาลไทยต้องปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้ม เพื่อให้ประชาชนประหยัดการใช้พลังงานลง สำหรับตลาดหุ้นไทยปีนี้ถือว่าไม่น่าลงทุนเนื่องจากไม่มีปัจจัยหนุนเลย และได้รับผลกระทบจากปัจจัยในประเทศมากกว่าปัจจัยนอกประเทศ

ซึ่งคงต้องมีการเเก้ไขและสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับปัจจัยลบที่เกิดขึ้นและควบคุมไม่ให้กระทบต่อการตัดสินใจลงทุน เดือนที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน 2-3 หมื่นล้านบาท แต่ดัชนีไม่ไปไหน โดยที่ผ่านมามีการขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศและรายย่อย

ขณะที่นักลงทุนเก็งกำไร หรือ เฮดจ์ฟันด์ ในช่วงที่ผ่านมา แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานักลงทุนในลักษณะดังกล่าวกลับหายไปจากตลาด ส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากความผันผวนของตลาดหุ้นไทยเริ่มน้อยลงประกอบกับปริมาณการซื้อขายก็ลดลงด้วย อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ดัชนีสิ้นปีเชื่อว่าจะอยู่ในระดับ 730-740 จุด

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ นายกสมาคมนักวิเคราะห์ เปิดเผยว่า การที่นักวิเคราะห์บางแห่งออกบทวิเคราะห์โดยคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปีนี้ที่ 2.8% เป็นไปตามการคาดการณ์เฉพาะบุคคล โดยเชื่อว่าอาจจะมีการปรับขึ้นได้หากราคาน้ำมันปรับลดลง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าต่างประเทศยังให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่คงจะไม่มีการเพิ่มน้ำหนักการลงทุน

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังกล่าวถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปิดในวานนี้ (7 ก.ค.) ที่ลบ 21 จุดว่า อย่าไปตกใจหรือตื่นเต้นมากนักเพราะดัชนีที่ปิดวันนี้เพราะตัวเลขจากหุ้นปิกนิกตัวเดียว ขณะที่โบรกเกอร์ต่างประเทศ 2 รายประเมินเศรษฐกิจไทยโตไม่ถึง 3% นั้นถือว่าการประเมินที่โอเวอร์เกินไป

ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทของไทยวานนี้ (7 ก.ค.) เปิดตลาดที่ระดับ 41.62-41.64 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปิดตลาดที่ระดับ 41.69-41.71 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าลงระหว่างวัน และอ่อนค่าสูงสุดในรอบ 10 เดือน โดยสูงสุดระหว่างวันอยู่ที่ 41.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ต่ำสุด ตามราคาเปิด คือ 41.62 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ การที่เงินสกุลบาทอ่อนค่าลงมีสาเหตุมาจากนักลงทุนส่วนใหญ่เทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และนำเงินบาทไปซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ บวกกับภาวะเศรษฐกิจของไทยไม่ได้สนับสนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง และมีความเป็นไปได้ว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงแตะที่ระดับกว่า 42 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

กรุงศรีฯขึ้นดอกเบี้ย 50 สตางค์

ด้านนางชาลอต โทณวณิก ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธนาคารได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.5% ต่อปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีแบบมีระยะเวลา (เอ็มแอลอาร์) ปรับขึ้นจากปัจจุบันอยู่ที่ 5.75% เป็น 6.25% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าเบิกเกินบัญชี (เอ็มโออาร์) จาก 6.00% เป็น 6.50% และอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดีแบบ มีระยะเวลา (เอ็มอาร์อาร์) ปัจจุบันอยู่ที่ 6.25% เป็น 6.75% มีผลตั้งแต่วันนี้ (8 ก.ค.) เป็นต้นไป

"การปรับดอกเบี้ยเงินกู้ครั้งนี้ ทำให้ธนาคารกรุงศรีฯ มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุดของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ โดยมีสาเหตุหลักจากธนาคารได้ ปรับดอกเบี้ยเงินฝากมาแล้ว 2 ครั้งในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องปรับดอกเบี้ยเงินกู้ตาม บวกกับธนาคารมองว่าครึ่งปี หลังแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น"


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.