บัณฑูร ล่ำซำ ผู้มีเอกภาพในความขัดแย้ง


นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2530)



กลับสู่หน้าหลัก

บัณฑูร ล่ำซำ เกิดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2496 ปัจจุบันอายุ 34 ปี เขาเป็นลูกชายคนเดียวของบัญชา ล่ำซำ ประธานกรรมการและประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งต้นตระกูลเป็นจีน และเข้ามาค้าขายในประเทศไทยตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและม.ร.ว.สำอางวรรณ ล่ำซำ (เทวกุล)

ราชนิกูลผู้สืบเชื้อสายมาจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บัณฑูรมีน้องสาว 2 คน ศุภวรรณ ล่ำซำ และวรางคณา ล่ำซำ สายเลือดธุรกิจและความเป็นเจ้านายผสมผสานอยู่ในตัว เขาเป็นคนหนุ่มที่ดีพร้อมด้วยชาติกำเนิดและทรัพย์ศฤงคารอย่างน่าอิจฉา มีความฉลาดเฉลียวและรสนิยมที่นุ่มละไม

ความเป็นลูกชายคนเดียวของบัญชา แม้ "ล่ำซำ" จะไม่มีจารีตระบุไว้ว่าเขาจะเป็นทายาทคนต่อไป แต่คนรอบข้างรู้ดีว่า "ใช่" และดูเหมือนจะเดินรอยตามพ่อ "บัญชา ล่ำซำ" ประดุจเงา

บัณฑูรเริ่มการศึกษาชั้นประถม 1-3 ที่โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่สาธิต มศว.ประสานมิตร จากนั้นไปอเมริกาต่อที่ไฮสกูลที่ PHILLIPS EXETER ACADAMY

เพื่อเตรียมตัวศึกษาในระดับปริญญาตรี

เป็นที่รู้กันว่าบัญชาสนับสนุนอย่างยิ่งให้ผู้มีพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์หรรือด้านเทคนิคเรียนต่อทางด้านบริหารธุรกิจ

เพราะเขาได้ตัวอย่างจากหลายประเทศที่นักบริหารที่มีพื้นฐานทางด้านเทคนิคทำงานได้ดี ดังนั้นไม่เพียงแต่พนักงานกสิกรไทยที่มีพื้นฐานทางด้านนี้จะได้รับการสนับสนุนเท่านั้น

บัณฑูรก็ได้รับคำแนะนำอย่างนี้เช่นกัน เขาเจริญรอยตามบัญชาซึ่งจบปริญญาตรีทางเคมี ด้วยการเรียนวิศวเคมี

เมื่อจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยปรินซตันแล้ว เขาสมัครเข้าเรียนต่อที่ HARVARD BUSINESS SCHOOL ขณะนั้นบัณฑูรเป็นหนึ่งในนักศึกษาไม่กี่คนที่จบปริญญาตรีใหม่ ๆ

และไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อน เขาเรียนจบฮาร์วาร์ดในปี 2520

ทันทีที่กลับถึงเมืองไทย งานที่เริ่มกลับไม่ใช่ธุรกิจของ "ล่ำซำ" ทว่าบัณฑูร ต้องกลับมารับราชการทหารเป็นร้อยตรีประจำกองบัญชาการทหารสูงสุดอยู่ประมาณ 2 ปี บทสรุปที่เขาได้รับจากการเป็นทหารคือ

"ถ้าราชการต้องแข่งขันแบบธุรกิจก็เจ๊งไปนานแล้ว"

ที่สุดเขาก็ต้องเดินในกรอบที่ "ล่ำซำ" เตรียมไว้ให้ โดยเข้าทำงานที่ธนาคารกสิกรไทยครั้งแรกในปี 2522 เริ่มด้วยตำแหน่งพนักงานประจำฝ่ายกิจการต่างประเทศ ในขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยากร เทวกุล

(ขณะนี้เป็นกรรมการรองผู้จัดการ) น้าชายเป็นผู้อำนวยการฝ่าย

ชีวิตการทำงานของทายาทที่ "ล่ำซำ" มาดหมาย เริ่มขึ้นเมื่ออายุ 26

ถ้ากล่าวถึงการสืบทอดตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของธนาคารกสิกรไทยซึ่งเป็นกิจการหลักของ "ล่ำซำ" แล้ว ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบันมีวิถีทางที่ต่างกันออกไป

มีบ้างที่ทายาทได้รับการคาดหมายและมีโอกาสเตรียมตัวกับตำแหน่งที่รออยู่ มีบ้างที่ก้าวขึ้นมาอย่างฉับพลัน

ตั้งแต่โชติ ล่ำซำได้ร่วมกับญาติและกลุ่มเพื่อนสนิทก่อตั้งธนาคารกสิกรไทยเมื่อปี 2488 และกุมบังเหียนธนาคารได้เพียง 3 ปีก็ถึงแก่กรรม เกษม ล่ำซำ น้องชายรับช่วงต่อ

เกษม เป็นคนที่ "ล่ำซำ" กำหนดให้ดูแลกิจการนี้อยู่แล้ว เขาเตรียมตัวด้วยการเรียนและฝึกงานการธนาคารที่ประเทศอังกฤษ

เพื่อเตรียมพร้อมการสืบทอดตำแหน่งต่อจากพี่ชาย และเขาก็ได้ใช้ความรู้ความสามารถในการบริหารสร้างความก้าวหน้า ให้แก่กิจการธนาคารไม่เป็นที่ผิดหวังแก่ครอบครัวเลยแม้แต่น้อย

แต่เมื่อเกษมเสียชีวิตอย่างกระทันหันด้วยอุบัติเหตุทางเครื่องบินสายการบินอะลิตาเลีย หลังจากควบคุมธนาคารกสิกรไทยได้ 15 ปี

บัญชา ล่ำซำ ต้องรับตำแหน่งต่อโดยไม่คาดคิดมาก่อน ปี 2506 บัญชาซึ่งขณะนั้นดูแลกิจการเมืองไทยประกันชีวิตกิจการที่ครอบครัวหมายหมั่นห้เขาดำเนินการ

ต้องเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการสืบต่อจากเกษมผู้เป็นอา ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ด้านการธนาคารมาก่อนเลย แต่กสิกรไทยยุคของบัญชาก็นับว่าเป็นยุคที่เติบโตอย่างมั่นคง

และเมื่อถึงบรรยงค์ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการคนปัจจุบัน ซึ่งรับหน้าที่ต่อจากบัญชาพี่ชายซึ่งขึ้นไปเป็นประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารตั้งแต่ปี 2519 ก็นับว่าเหมาะสมทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ

เพราะทำงานร่วมกับบัญชาและอยู่ในวงการธนาคารมานาน

จากวันที่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบันรอยเท้าที่คนรุ่นก่อนประทับไว้ตลอดเส้นทางการเติบโตของกสิกรไทยนั้นยิ่งใหญ่นัก วันนี้กสิกรไทยเป็นธนาคารพานิชย์อันดับสองจากธนาคารพานิชย์ทั้งสิ้น 16 แห่ง

รองจากธนาคารกรุงเทพเท่านั้น เมื่อสิ้นธันวาคม 2529 มีสินทรัพย์ 116,193,270 ล้านบาท เงินฝาก 96,712,219 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 79,338,519 ล้านบาท

กสิกรไทยวันนี้ใหญ่โต ถึงแม้จะมั่นใจได้ว่าตนเองเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งสูงสุดคนต่อไปแน่นอน แต่นับว่าเป็นภาระหนักหน่วงที่บัณฑูรต้องพิสูจน์ให้ทั้งคนใน "ล่ำซำ" กสิกรไทย

และคนภายนอกเห็นว่าเขาเหมาะสมกับตำแหน่งนี้จริง ๆ !

"อึดอัดนะ แต่มันเป็นความจริงอย่างหนึ่งในชีวิตผม เราอยู่ในสภาพอย่างนี้ก็ต้องทำไปเลือกไม่ได้" บัณฑูรเคยบอก "ผู้จัดการ" ถึงความรู้สึกต่อการที่ใคร ๆ มั่นหมายในตัวเขา

บัณฑูรเป็นชายหนุ่มร่างสันทัดไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อ ใบหน้าสดใสภายใต้กรอบแว่นทรงเรย์แบนน่าจะบอกว่าเขาเป็นคนรื่นเริง ช่างพูด แต่คนที่ทำงานร่วมกับเขากลับบอกว่าเคร่งขรึมเอาการเอางาน

อาจเป็นเพราะสถานภาพที่ดำรงอยู่ก็เป็นได้ที่ทำให้บัณฑูรเหมือนหนึ่งรวมไว้ด้วย 2 บุคลิกภาพ ภาพหนึ่งเป็นผู้บริหารที่เอาจริงเอาจังกับงาน เคร่งขรึมเกินวัย อีกภาพหนึ่งอ่อนไหว

รักดนตรีและศิลปวัฒนธรรม ดู ๆ มันขัด ๆ กันอยู่ในตัว

ในภาพของนักบริหารที่เอาจริงเอาจังกับงาน เคร่งขรึมเกินวัยนั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากทางสาย "ล่ำซำ" ที่มีการสืบทอดทางธุรกิจการค้ามานาน บวกด้วยความเข้มงวด มีวินัย ละเอียดลออ

เสริมเข้ากับความมุ่งมั่นทางธุรกิจของ "ล่ำซำ" เป็นบรรยากาศที่บีบรัดให้บัณฑูรมีบุคลิกดังกล่าว

จากวันที่เริ่มงานในตำแหน่งพนักงานประจำฝ่ายต่างประเทศ จนถึงปี 2527 ที่ธนาคารพานิชย์มีการแข่งขันหนักหน่วงในการเติบโตเป็นอิเลคโทรนิคแบงก์

กสิกรไทยก็มีการเปลี่ยนแปลงระบบคอมพิวเตอร์ครั้งใหญ่เช่นกัน บัณฑูรต้องย้ายจากฝ่ายกิจการต่างประเทศชั่วคราวเพื่อมาทำหน้าที่ประสานงานบริหารการจัดการระบบคอมพิวเตอร์ใหม่

ซึ่งสามารถจัดระบบได้เรียบร้อยภายในเวลาเพียงปีครึ่ง รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ ขนาดที่ทางฮาร์วาร์ดต้องให้ความสนใจติดต่อขอทำเป็นกรณีศึกษาสำหรับนักศึกษาบริหารธุรกิจ

"เราทำกันหามรุ่งหามค่ำ ตอนนั้นมีความกดดันสูงจากการต่อสู้ทางการตลาดเรายังตามเขาอยู่ต้องไล่ให้ทัน" บัณฑูร พูดถึงการรื้อระบบคอมพิวเตอร์จากเดิมเคยวางไว้เป็นระบบ DECENTRALIZE

ให้แต่ละสาขามีคอมพิวเตอร์ใช้งาน กระจายให้แต่ละสาขาติดตั้งคอมพิวเตอร์ เปลี่ยนเป็นระบบ CENTRALIZE ที่มีซี.พี.ยู.ศูนย์กลางอยู่ที่สำนักงานใหญ่แล้วออนไลน์ไปตามสาขาต่าง ๆ

เหมือนกับธนาคารกรุงเทพ และธนาคารพาณิชย์

ว่ากันว่าแนวความคิดที่ผู้บริหารรื้อระบบคอมพิวเตอร์เปลี่ยนใหม่นี้มาจากความคิดของผลิตผลจากฮาร์วาร์ดเฉกเช่นบัณฑูร ด้วยเช่นกัน !

นอกจากการช่วยจัดระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารแล้ว ความคิดเรื่อง MIS (MANAGEMENT INFORMATION SYSTEM) โดยการใช้คอมพิวเตอร์ประมวลข้อมูลเพื่อการบริหาร

ก็เป็นงานชิ้นเอกของบัณฑูรอีกชิ้นหนึ่ง

"ธุรกิจธนาคารพาณิชย์มีเอกสารข้อมูลมาก วัน ๆ จะมีแต่การส่งผ่านทางเอกสาร การจัดการข้อมูลเอกสารเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็น จะช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายได้

ถ้าจัดการกับข้อมูลได้เร็วจะทำให้ผู้บริหารตัดสินใจได้เร็วขึ้น ไม่ชักช้าอืดอาด" นักการธนาคารคนหนึ่งสนันบสนุนว่า MIS เป็นสิ่งจำเป็นในธุรกิจการธนาคาร

และทางกสิกรไทยก็กำลังทยอยจัดทำเรื่องนี้ตามความคิด และแรงผลักดันของบัณฑูร

ขณะนี้บัณฑูรดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกิจการต่างประเทศ ซึ่งรับผิดชอบสาขาในต่างประเทศ 5 สาขา ลอนดอน แฮมเบอร์ก นิวยอร์ค ลอสแอนเจลิส ฮ่องกง รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวกับเงินโอนทั้งหมด

เช็คเดินทาง บัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ดและวีซ่า

เป็นสายงานที่จะทำกำไรให้ธนาคารในอนาคตไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมที่ได้จากการออกเอกสารเครดิตต่าง ๆ , เช็คเดินทาง, บัตรเครดิต หรือเงินโอน ซึ่งจะเติบโตขึ้นพร้อม ๆ

กับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ

นอกจากนี้เขายังเป็นกรรมการในคณะกรรมการเครดิตของธนาคาร ซึ่งมีผลต่อการปล่อยเงินกู้ของธนาคาร

ซึ่งลักษณะการปล่อยเงินกู้ก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่บอกให้เห็นถึงลักษณะบุคลิกของผู้บริหารธนาคารได้เช่นกัน

สำหรับบัณฑูรแล้วเขาบอก "ผู้จัดการ" ว่า กสิกรไทยเป็นธนาคารที่ค่อนข้าง CONSERVATIVE มันขึ้นอยู่กับว่าเราเปรียบเทียบกับอะไรด้วย CONSERVATIVE หรือ AGGRESSIVE ต่างมีข้อดีข้อเสีย พวก

AGGRESSIVE อาจปล่อยพรวด ๆ ในธุรกิจธนาคารมันแปลกแต่คนปล่อยไม่ต้องมาแก้ คนแก้ไม่ได้ปล่อย แต่พวก CONSERVATIVE อาจถูกด่าว่าไม่ยอมสู้ แต่เราจะวัดกันเดี๋ยวนั้นไม่ได้ อาจต้อง 3

ปีให้หลังถึงจะรู้เรื่อง ธุรกิจนี้ไว่ว่าที่ไหนในโลกมันเป็นอย่างนี้ มันเป็น CYCLE มันอาจมี AGGRESSIVE แล้วก็ลง CONSERVATIVE มันเป็นวัฏจักร" บัณฑูรให้ความเห็นเรื่องนี้มากกว่าเรื่องอื่น ๆ

อาจเป็นเพราะฮาร์วาร์ดสอนแนวคิดในการเปรียบเทียบสถานการณ์รอบด้านก่อนการตัดสินใจให้เขามาก ๆ ก็เป็นได้ เขาจะเป็นนายธนาคาร AGGRESSIVE หรือ CONSERVATIVE

ก็คงแล้วแต่สถานการณ์

เหล่านี้คงพอเป็นผลงานและสร้างจุดยืนที่สนันสนุนให้สถานะความเป็นทายาทเด่นล้ำขึ้นมาได้บ้าง ความรู้ MBA

ฮาร์วาร์ดที่เขาว่าได้ใช้ดีอย่างยิ่งยวดทำให้เขาเข้าไปจัดการอะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่างในกสิกรไทยมีบ้างที่สำเร็จไปแล้ว มีบ้างที่รอการประเมินผล และที่กำลังจะทำต่อไปยังมีอีกมาก

สิ่งที่บ่งบอกถึงแนวคิดของบัณฑูรอีกเรื่องหนึ่งคือ วัฒนธรรมองค์กร ซึ่งนักบริหารหลายคนให้ความเห็นว่าที่จริงแล้ววัฒนธรรมองค์กรคือปรัชญาของผู้บริหารระดับสูงนั่นเอง

ในยุคของบัญชาวัฒนธรรมองค์กรที่ปลูกฝังให้พนักงานและสืบทอดมาอย่างชัดเจนคือ วินัยและระบบคุณธรรม กสิกรไทยยุคบัญชาไม่มีการเล่นพรรคเล่นพวก

ในเรื่องการมีวินัยนั้นไม่เพียงแต่พนักงานจะทำงานกันอย่างเป็นระเบียบมีขั้นตอนเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาเป็นอย่างดีแล้ว

แม้แต่ห้องน้ำธนาคารไม่ว่าจะเป็นที่สำนักงานใหญ่หรือสาขาต้องสะอาดเอี่ยมตลอดเวลา

สำหรับบัณฑูรเขาเห็นด้วยกับวัฒนธรรมองค์กรที่มีอยู่ แต่สิ่งที่ฝังหัวเขาและเขาคิดจะปลูกฝังให้เป็นวัฒนธรรมองค์กรต่อไปคือ การมีส่วนช่วยในการทำกำไรให้องค์กร (CONTRIBUTE)

"ในโลก BANKING มันแข่งขันกันมากขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนสบาย ๆ เพราะฉะนั้นถ้าทุกหน่วยไม่ช่วยกันทำกำไร ในที่สุดมันจะแย่ ยิ่งตอนนี้เราต้องส่งเสริมสำนึกเรื่องนี้" บัณฑูรเน้น

และแม้แต่ตัวเขาเองในสายตาที่คิดว่าครอบครัวมองเขา ก็มีความคิดเรื่อง CONTRIBUTE เข้ามาเกี่ยวข้อง

"เขาถือว่าผมเป็นทรัพยากรอันหนึ่ง ซึ่งก็เห็นว่าควรนำมาใช้ได้ เพราะเขาลงทุนไปมหาศาลในการให้การศึกษา ก็น่าจะนำมาใช้ได้"

เขากล่าวแล้วตามด้วยเสียงหัวเราะเป็นวิธีที่เขาใช้เสมอเพื่อเกลื่อนความรู้สึกในบทสนทนาที่เคร่งเครียด หรือเมื่อต้องการเปลี่ยนเรื่องพูด

บัณฑูรคนที่มุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับงานเป็นภาพหนึ่ง แต่ในอีกภาพหนึ่งยามมีเวลาล่างเขาเป็นคนอ่อนไหวเรียบร้อยยิ่งนัก

สายเลือดราชนิกูลทางข้างแม่แย่างเขาสนใจในประวัตติศาสตร์ความเป็นมาของชาติไทย และใฝ่ในศิลปวัฒนธรรมเป็นอย่างยิ่ง

ดนตรีไทยเป็นสิ่งที่เขาสนใจมากเมื่อเรียนที่สาธิต มศว.ประสานมิตรเขาเล่น "จะเข็" เป็นเครื่องดนตรีไทยชิ้นแรก ยามว่างเมื่อเรียนที่อเมริกาเขาใช้ "ขลุ่ย" เป็นเพื่อน กลับถึงเมืองไทยใหม่ ๆ เขาเล่น "ซออู้"

ล่าสุดเขาสนใจ "ซอสามสาย" เอาจริงเอาจังกับการฝึกฝนไม่แพ้หน้าที่การงาน กล่าวได้ว่าขณะนี้เขาเป็นยอดฝีมือซอสามสายคนหนึ่ง

ทุกครั้งที่บทสนทนามีเรื่องซอสามสายอยู่ด้วยเขาจะพูดมากกว่าปกติและรู้สึกพึงพอใจ เขายินดีที่จะนั่งพับเพียบให้เหน็บกินเป็นชั่วโมงเพื่อเล่นซอสามสาย

ว่ากันว่าซอสามสายที่เขาสั่งทำพิเศษนั้นทำจากงาช้างและกระโหลกมะพร้าวชั้นดีนั้นราคาคันหนึ่งกว่า 90,000 บาท ทั้งที่ซอในราคาปกติคันละประมาณ 500 บาทเท่านั้น

และถ้ามีเวลาว่างกว่านั้นเขาก็อาจไปเล่นเรือใบบ้าง บัณฑูรมีเพื่อนไม่มากนักเพราะจากเมืองไทยไปถึง 10 กว่าปี เพื่อนที่มีอยู่น้อยคนของบัณฑูรบอก "ผู้จัดการ" ว่า "แรก ๆ ที่คุณปั้นกลับเมืองไทย

คุณบัญชาต้องจัดงานปาร์ตี้ชวนเพื่อน ๆ มาสังสรรค์"

บัณฑูรก็เหมือนนักการธนาคารทั่วไปที่แต่ง "เนี๊ยบ" ทุกกระเบียดนิ้ว ร่างสันทัดในเสื้อแขนยาว ผูกเนคไทเรียบร้อย กางเกงกลีบโง้ง รองเท้าขัดเงาหนังอย่างดี จะนั่งทำงานที่ธนาคารตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง

หนึ่งทุ่ม ตลอดเวลาที่ทำงานนั้นเขาจะเรียกเอาอะไรเขาจะต้องได้ และได้ทันใจเสียด้วย

เขาเป็นคนจริงจังมุ่งมั่นอย่างนี้เสมอ

"คุณพ่อก็เคนเตือน ๆ บ้างเหมือนกัน" เขาบอก "ผู้จัดการ" เรื่องงานและการวางตัว

สำหรับบัณฑูรเองไม่ว่าใครจะมองเขาด้วยบุคลิกภาพอย่างไร จะเห็นว่าเขาเป็นทายาทหรือลูกเจ้านายใหญ่

แต่สำหรับบัณฑูรเองเขาคิดว่าตนเองเป็นพนักงานคนหนึ่งเป็นพนักงานที่ออกจะเป็นมืออาชีพเสียด้วย เขาจะรู้สึกไม่พอใจมาก ๆ ที่ใครจะเรียก กสิกรไทยว่า "แบงก์ของล่ำซำ"

"แบงก์ไม่ใช่ธุรกิจส่วนตัว แบงก์เป็น PUBLIC COMPANY จะมาทำเป็นแบบครอบครัวมันหมดยุคหมดสมัยแล้ว" เขาบอกว่าขณะนี้มี "ล่ำซำ" เพียง 5 คนเท่านั้นในกสิกรไทย คือ บัญชา บรรยงค์ ปรีชา

ไพโรจน์ และตัวเขาเอง จากจำนวนพนักงานทั้งสิ้นกว่าหมื่นคน

เมื่อวัยเด็กเขาใฝ่ฝันจะเป็นหมอ แต่ในชีวิตจริงเขาถูกกำหนดให้เป็นผู้บริหารระดับสูงสุดของกสิกรไทย ทั้งคนในล่ำซำและกสิกรไทย เพื่อน ๆ

ต่างเอาใจช่วยให้เขาก้าวไปถึงวันนั้นได้อย่างสะดวกสวยงามและราบรื่น

วันนี้เขาเป็นผู้อำนวยการฝ่าย ดูเหมือนยังยาวไกลกว่าที่จะถึงจุดหมายนั้น ถ้าพิจารณาตามโครงสร้างการบริหารของธนาคาร จากผู้อำนวยการฝ่าย เขาต้องไต่เป็นผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส

ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ รองกรรมการผู้จัดการ และที่สุดตำแหน่งในปัจจุบันของบัญชา ล่ำซำ

ในฐานะพนักงานคนหนึ่งเขาคิดว่าเขาคงจะเดินไปตามโครงการนั้น

เพราะจริง ๆ แล้วก็คือเส้นทางที่จะช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์และการยอมรับอย่างสิ้นข้อสงสัยสำหรับตัวเขา

บัณฑูรจะไปถึงจุดหมายปลายทางที่วางกำหนดไว้ให้นั้นได้เร็วแค่ไหน ก็คงต้องขึ้นกับตัวเขาเองด้วยว่าจะพิสูจน์ให้เบื้องบนเห็นความสามารถได้เร็วเพียงใด



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.