In the Company of Women


นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

ทำไมผู้หญิงเก่งจึงต้องเสียเพื่อน

เมื่อผู้หญิงประสบความสำเร็จในการทำงานและสามารถ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงขึ้นไปในบริษัท เธอต้องเผชิญกับการต่อต้านและการทำร้ายมากขึ้นตลอดเวลา แต่หาใช่จากคนที่เธอคาดคิดไม่ ไม่ใช่ จากนายเพศชายที่มีความคิดเหยียดเพศ ผู้เห็นว่าผู้หญิงควรอยู่กับ เหย้าเฝ้ากับเรือน และไม่ใช่จากคู่แข่งต่างเพศที่เห็นเธอเป็นศัตรูคู่แข่ง ที่มาแย่งชิงตำแหน่งผู้บริหาร แต่คนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเป็นศัตรูตัวฉกาจของผู้หญิงเก่ง ตามความเห็นของ Pat Heim และ Susan Murphy 2 ผู้ประพันธ์หนังสือเล่มนี้มาจากคนที่เธอคิดไม่ถึง นั่นคือ ผู้หญิงด้วยกันนี่เอง

Heim และ Murphy เขียนไว้ว่า "ตลอด 20 ปีที่เราจัด ประชุมหรือประชุมปฏิบัติการเกี่ยวกับความแตกต่างของเพศที่มี ผลต่อความก้าวหน้าในอาชีพ ผู้เข้าร่วมประชุมแทบทุกคนต่างยอม รับว่า ผู้หญิงคือคนที่ทำลายความฝันในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งระดับ สูงของพวกเธอ" ผู้ประพันธ์ทั้งสองยืนยันคำพูดนี้ด้วยสถิติ กล่าว คือ จากการสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ของสมาคมนักบริหารอเมริกัน (American Management Association) ที่ทำการสำรวจผู้หญิง จำนวน 1,000 คน พบว่า 95% ยอมรับว่า ผู้หญิงเป็นหนึ่งในศัตรู ความก้าวหน้าในการทำงานของพวกเธอ

การทำร้ายทางอ้อม

ผู้ประพันธ์ทั้งสองอธิบายว่า วิธีการทำร้ายกันของผู้หญิง เป็นการทำร้ายทางอ้อม ซึ่งเปรียบได้กับการต่อสู้กันของแมว ใน ขณะที่สุนัขจะกระโจนเข้าตะลุมบอนกันอย่างซึ่งหน้า แล้วก็บาดเจ็บ เลือดตกยางออกกันไปทั้งสองฝ่าย แต่แมวจะใช้วิธีข่มขู่คุกคามศัตรู เช่น โก่งหลัง แยกเขี้ยว และกางเล็บ จ้องอย่างประสงค์ร้าย หรือ ใช้เสียงขู่คำราม ผู้หญิงก็เช่นเดียวกันจะใช้วิธีทำร้ายศัตรูทางอ้อม ซึ่งแม้มิได้เป็นการทำร้ายร่างกายให้บาดเจ็บ แต่กลับส่งผลทำร้าย จิตใจฝ่ายตรงข้ามซึ่งเป็นผู้หญิงเหมือนกันอย่างลึกซึ้ง วิธีทำร้าย ทางอ้อมเหล่านี้ก็ได้แก่ การซุบซิบนินทา การกระจายข่าวลือ และการเปิดเผยความลับ การพูดกระทบกระแทกแดกดัน หรือดูถูก เหยียดหยามทั้งต่อหน้าและลับหลัง การแกล้งทำลายงานของผู้หญิง อื่น หรือการจงใจแสดงท่าทีเฉยเมยกระทั่งไม่คบหาสมาคมด้วย

ราคาที่ผู้หญิงต้องจ่ายให้แก่การต่อสู้ทำร้ายกันทางอ้อมแบบนี้ ไม่ได้ส่งผลเสียหายแก่เฉพาะผู้หญิงที่ถูกทำร้ายเท่านั้น แต่ยังส่งผล เสียหายต่อผู้หญิงโดยส่วนรวมอีกด้วย เพราะผู้บริหารและบริษัทที่ ได้เห็นวิธีทำร้ายกันอย่างเลือดเย็นของผู้หญิงแบบนี้แล้ว จะกล้าที่จะส่งเสริมให้เพศหญิงได้ก้าวขึ้นเป็นใหญ่ในองค์กรได้อีกหรือ ดังนั้น ผู้หญิงคนไหนก็ตามที่กำลังกลั่นแกล้งทำร้ายผู้หญิงเก่งคนอื่นอยู่ พวก เธอไม่เพียงแต่ทำลายผู้หญิงคนนั้นเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ยังทำลาย โอกาสความก้าวหน้าของเพศหญิงโดยรวม ซึ่งรวมทั้งตัวเธอเองด้วย

ทำไมผู้หญิงต้องทำร้ายผู้หญิงด้วยกัน

ในเมื่อการทำร้ายกันของผู้หญิงส่งผลเสียหายอย่างใหญ่ หลวงขนาดนี้ ทำไมผู้หญิงจึงยังคงทำร้ายผู้หญิงด้วยกันอยู่

เหตุผลแรกที่ผู้ประพันธ์ทั้งสองหยิบยกขึ้นมาคือสิ่งที่พวกเธอ เรียกว่า "กฎการมีอำนาจเท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์" (Power Dead-Even Rule) ผู้ประพันธ์อธิบายว่า มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ ที่ประกอบขึ้นเป็นความสุขของผู้หญิง กล่าวคือ ความสัมพันธ์ อำนาจ และความภาคภูมิใจในตนเอง การที่จะรักษาความสัมพันธ์ให้แข็งแรง ตลอดไป อำนาจและความภาคภูมิใจในตนเองของผู้หญิงที่คบหา เป็นมิตรกันจะต้องเท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์ หากมีคนใดคนหนึ่ง มีอำนาจหรือมีความภาคภูมิใจในตัวเองมากกว่า จะส่งผลเสียหาย ต่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิง 2 คนนี้ทันที

กฎที่มองไม่เห็น

แม้ว่าจะมองเห็นไม่ได้ แต่ผู้ประพันธ์ยืนยันว่า ผู้หญิง ส่วนใหญ่อยู่ได้ด้วยกฎที่รู้กันนี้โดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมาให้ชัดเจน ผู้หญิงจะพยายามรักษาสมดุลของอำนาจและความภาคภูมิใจใน ตนเองกับเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานทุกครั้งที่กำลังจะเกิดความไม่ สมดุลขึ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อ Sandra กล่าวชม Martha เพื่อนร่วม งานซึ่งวันนี้ใส่เสื้อตัวใหม่มาทำงานว่าวันนี้ใส่เสื้อสวย "เสื้อตัวนี้ เหรอ เก่าแล้วล่ะ ซื้อตอนเซลส์ด้วย" นี่คือคำตอบหนึ่งที่มีความเป็น ไปได้สูงว่า Martha จะใช้ เพราะการชม Martha ว่าใส่เสื้อสวยนั้น Sandra กำลังเพิ่มอำนาจและความภาคภูมิใจในตนเองให้แก่ Martha ทำให้ Martha ต้องพยายามดึงอำนาจและความภูมิใจใน ตนเองของตนที่เพิ่มสูงขึ้นให้ลงต่ำมาสู่จุดสมดุลในทันที ด้วยการกล่าวถ่อมตัวเกี่ยวกับเสื้อ แม้ว่าความจริงมันจะเป็นเสื้อที่เธอ เพิ่งซื้อมาใหม่จริงๆ ก็ตาม

เมื่อผู้หญิงได้รับการเลื่อนตำแหน่ง จึงเท่ากับว่ากฎการมี อำนาจเท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์ถูกทำลายลงไป เพราะผู้หญิง คนหนึ่งมีอำนาจมากกว่า (ซึ่งมักจะหมายรวมถึงมีความภาคภูมิใจ ในตนเองมากกว่าด้วย) ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง และยิ่งถ้าผู้หญิง 2 คน นั้นเคยเป็นเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานกันมาก่อน ความเสียสมดุลของ อำนาจ ก็ยิ่งทำลายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้เสียหายหนักขึ้นไปอีก

นอกจากจะอธิบายกฎดังกล่าวในเชิงวิทยาศาสตร์แล้ว ผู้ประพันธ์ยังอธิบายในเชิงวัฒนธรรมด้วย โดยยกตัวอย่างการเล่น ของเด็กผู้หญิง จะมีเป้าหมายแบบ win-win อย่างเช่นการเล่น กระโดดเชือก สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้มีเพียงแค่ อดเล่น 1 ตาเท่านั้น แต่หลังจากนั้นก็กลับมาต่อแถวเล่นต่อได้ ในขณะที่การเล่นของเด็กผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกีฬาหรือเล่น เกมคาวบอย จะต้องมีผู้ชนะและผู้แพ้ชัดเจน เด็กผู้ชายจึงเท่ากับ ถูกสอนให้ยอมรับตั้งแต่ยังเล็กๆ แล้วว่า ไม่ใช่ทุกอย่างในโลกนี้ที่ จะต้องเท่าเทียมกันเสมอไป



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.