พันธบัตร "ช่วยชาติ" ทางเลือกสำหรับผู้มีเงินออม


นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

แนวทางแก้ปัญหากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฟื้นฟูฯ) ด้วยการออกพันธบัตร ซึ่งเป็นการระดมเงินออม (ระยะยาว) จากประชาชนมาใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ เป็นแนวทางที่คนส่วนมากเห็นด้วย รวมทั้งฝ่ายค้าน ซึ่งอดีต รมว.คลัง นายธารินทร์ นิมมาน เหมินท์ ก็อภิปรายสนับสนุนในเรื่องนี้ โดยบอกด้วยว่า เป็นแนวทางเดียวกับที่เขาเคย ทำมาก่อนหน้านี้

ทั้งนี้รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ก็เคย ออกกฎหมายเพื่อให้มีการออกพันธบัตร จำนวน 5 แสนกว่าล้านบาท เพื่อใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ บางส่วนไปแล้วในปี 2541

ในการออกพันธบัตร 300,000 ล้าน บาทเพื่อมารีไฟแนนซ์หนี้บางส่วนในครั้งนี้นั้น แน่นอนว่าพันธบัตรจำนวนนี้ต้องเข้า มาสร้างความสับสนในตลาดเงินระยะหนึ่ง แม้ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) นางธาริษา วัฒน เกส จะอธิบายเรื่องนี้ว่าเป็นการโยกเงินจาก ที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งคือ การโอนเงินจากเงิน ฝากไปยังพันธบัตรรัฐบาล และรัฐบาลก็นำ เงินมาให้กองทุนฟื้นฟูฯ และกองทุนฟื้นฟูฯ นำไปชำระคืนในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/ พี) ซึ่งทำให้เงินไหลกลับธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นในด้านอุปสงค์อุปทานไม่เปลี่ยน แปลง แต่ทำให้สภาพคล่องส่วนเกินหายไป

ธปท.ได้พยายามจำกัดจุดที่จะก่อ ให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดเงิน และตลาดพันธบัตร แต่กระนั้นตลาดก็ยังคงมีความกังวลอยู่ดี และมองกันว่าการออก พันธบัตรลอตนี้ยังถือเป็นปัจจัยเสี่ยงในตลาดอยู่ (ปลายสัปดาห์ก่อนที่จะมีการประกาศเรื่องพันธบัตร 3 แสนล้านบาท อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับเพิ่มสูงขึ้น 0.08% ตอบรับข่าวนี้) รวมทั้งมองด้วยว่า อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าตลาดในตอนนี้ (สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ประมาณ 0.6% - 0.8%) จะส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยในการออกพันธบัตรอื่นๆ

ธปท.กำหนดขายพันธบัตรกองทุน ฟื้นฟูฯ ล็อตนี้ให้แก่ประชาชนทั่วไป สหกรณ์ มูลนิธิและองค์กรการกุศล เพื่อสาธารณประ- โยชน์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้จากผล ประโยชน์ในเงินต้น โดยกำหนดวงเงินซื้อขั้นต่ำ ไว้ที่ 50,000 บาท ซึ่งก็ถือว่าเป็นวงเงินที่สูง พอสมควร คนที่จะลงทุนต้องมีเงินเก็บเงินออม และต้องถือยาวกว่า 1 ปีจึงจะได้ผลตอบแทน ที่คุ้มค่าเงินลงทุน ซึ่งก็มีผู้ห่วงว่า ธปท.จะระดม เงินได้ครบตามที่ต้องการหรือเพราะเป็นเม็ดเงินจำนวนมหาศาลอยู่

หากจะให้ดี ธปท.ควรทำ ความเข้าใจกับประชาชนและนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายให้มาก กว่านี้ โดยชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ ที่นักลงทุนจะได้รับ ซึ่งก็เป็นประโยชน์ แก่ ธปท.ด้วย เพราะในเรื่องของกฎหมาย เชื่อแน่ว่ารัฐบาลคงผลักดันออกมาได้ สำเร็จ แต่ในเรื่องของภาวะตลาดนั้น มี ความผันผวนและอ่อนไหวเกินกว่าความ ควบคุมของรัฐบาล

สำหรับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร ดังกล่าว จะเท่ากับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร รัฐบาล ที่ขายในตลาดรองบวกอัตราที่ กำหนดให้ใหม่ ซึ่งคาดว่าพันธบัตร 5 ปี จะมีอัตราดอกเบี้ยเท่ากับดอกเบี้ยพันธบัตร รัฐบาล 5 ปี ที่ขายกันในตลาดรอง (ณ วัน ที่ 25 มิ.ย.) + ส่วนต่างกำไรประมาณ 0.6% หรือ 3.63 + 0.6% = 4.23% ส่วนพันธบัตร 7 ปี มีอัตรา 4.71 + 0.7% = 5.41% และ พันธบัตร 10 ปีเท่ากับ 5.44 + 0.8% = 6.24% และเสียภาษีเงินได้ตามอัตราภาษี พันธบัตรรัฐบาลตามปกติ แต่รายรับรวม ที่ได้ก็ถือว่ายังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารพาณิชย์ปัจจุบัน

ทั้งนี้ ธปท.จะไม่กำหนดว่า จะแบ่ง ขายพันธบัตรแต่ละอายุในวงเงินเท่าไร แต่ขึ้นกับความต้องการของประชาชนเป็น หลัก หากแสดงความจำนงจะซื้อพันธบัตร ระยะยาวจำนวนวงเงินเท่าไรก็จะขายตาม นั้น ดังนั้น ประชาชนที่ต้องการซื้อพันธบัตร จะต้องกำหนดวงเงินและคำนวณระยะเวลา การใช้เงินของตนเองว่า ต้องการไถ่ถอน มาใช้ เมื่อมีวัตถุประสงค์ใด หากเป็นการ ออม เพื่อใช้ใน 7 ปีข้างหน้า เช่น เพื่อการ ศึกษาของบุตร ก็ให้ซื้อพันธบัตรอายุ 7 ปี

การที่นักลงทุนหรือผู้ออมเงินจะตัด สินใจซื้อพันธบัตรหรือไม่ คงต้องพิจารณา ใน 2 ทางคือ แนวโน้มดอกเบี้ยอนาคตที่ อาจจะสูงขึ้นกว่าปัจจุบัน และความเสี่ยง ของการบริหารเงินออม หากเห็นว่า อนาคต ดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ก็สามารถเลือกลงทุน ในสิ่งที่ได้รับผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่า แต่ในช่วงปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้ 1-2 ปี หรือ 2-3 ปีนี้ จะต้องยอมรับดอกเบี้ย และผลตอบแทนในอัตราต่ำก่อน ซึ่งก็คง ต้องคำนวณกันเองว่า คุ้มหรือไม่กับการซื้อ พันธบัตรในขณะนี้ และได้รับผลตอบแทน ที่มากกว่าตลาดตั้งแต่ปัจจุบัน แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต

ทั้งนี้ ธปท.จะออกตารางที่คำนวณ ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับตามอายุ พันธบัตร และจะบอกด้วยว่าหากมีการ ไถ่ถอนก่อนกำหนด จะถูกปรับอย่างไร หรือ จะได้เงินต้นและดอกเบี้ยจำนวนเท่าใด

อย่างไรก็ตาม ประชาชน สหกรณ์ ออมทรัพย์ และมูลนิธิ ซึ่งมีสิทธิซื้อพันธบัตรนั้น หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินใน ระหว่างที่พันธบัตรยังไม่หมดอายุ แต่ต้อง ถือไว้เกิน 1 ปีขึ้นไป จึงนำมาขายคืนให้กับสถาบันการเงินทุกแห่งได้ แต่ต้องลดราคาจากวันซื้อตามดอกเบี้ยที่อาจจะได้รับ เกินไปจากการคำนวณจ่าย ซึ่งธนาคารพาณิชย์ หรือสถาบันการเงินที่ซื้อพันธบัตร คืนมีทางเลือก 3 ทาง คือ ถือไว้เองจนหมดอายุก็ได้ดอกเบี้ยไป หรือนำไปขายต่อ ให้ประชาชนที่ต้องการซื้อ หรือนำมาขาย คืน ธปท.ทันที

หากพิจารณาดูจากอัตราผลตอบแทน แล้ว ก็ถือว่าดีกว่าอัตราดอกเบี้ยของเงินฝาก ในธนาคารแน่นอน เพียงแต่ว่านักลงทุนควร ดูความจำเป็นในการใช้เงินของแต่ละคน เพื่อพิจารณาว่าจะซื้อพันธบัตรรุ่นใดดี จะได้จัดให้สอดคล้องกับความจำเป็น


รายละเอียดพันธบัตรช่วยชาติ

ราคาจำหน่าย :

หน่วยละ 10,000 บาท ซื้อครั้งละไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท และไม่มีวงเงินสูงสุด

การจ่ายดอกเบี้ย :

ปีละ 2 งวด คือวันที่ 2 มีนาคม และ 2 กันยายน ของทุกปี ตลอดอายุพันธบัตร

การเสียภาษี :

ตามอัตราที่ประกาศไว้ในประมวลรัษฎากร เช่น บุคคลธรรมดา 15% ทุกครั้งที่มีการจ่ายดอกเบี้ย ธปท.จะหักภาษี ณ ที่จ่าย และสำหรับบุคคลธรรมดาสามารถเลือกได้ว่าจะไปรวมคำนวณภาษี ณ สิ้นปีหรือไม่ กำหนดชำระคืนเงินต้น ธปท.จะโอนเข้าบัญชีเงินฝาก (ยกเว้นบัญชีเงินฝากประจำ) ของผู้ทรงสิทธิ์ที่ฝากไว้ที่ธนาคารใดก็ตามที่แจ้งไว้ในใบคำขอรับคืนเงินต้น โดยพันธบัตรอายุ 5 ปี กำหนดชำระคืน 2 กันยายน 2550, อายุ 7 ปี กำหนดชำระคืน 2 กันยายน 2552 และอายุ 10 ปี กำหนดชำระคืน 2 กันยายน 2555

การขายคืนก่อนครบกำหนด : ผู้ถือพันธบัตรสามารถขายคืนก่อนครบกำหนด ตั้งแต่ 2 กันยายน 2546 เป็นต้นไป โดย ธปท.จะระบุราคาขายคืนก่อนกำหนดตามช่วงเวลา

การใช้พันธบัตรออมทรัพย์เป็นหลักประกัน :

ผู้ถือพันธบัตรออมทรัพย์สามารถใช้พันธบัตรออมทรัพย์ เป็นหลักประกันให้กับหน่วยงานราชการและองค์กรของรัฐ เช่น การประกันทางศาล หรือการประกันไฟฟ้า และสามารถใช้พันธบัตรออมทรัพย์เป็นหลักประกันในการกู้เงินจากธนาคาร

การโอนกรรมสิทธิ์ :

กระทำได้ตั้งแต่ 2 กันยายน 2546 ยกเว้นผู้ที่ต้องการโอนกรรมสิทธิ์ เป็นหลักประกัน ให้กระทำได้หลังจากได้รับพันธบัตรแล้ว แต่จะกระทำได้ในระหว่าง 15 วัน ก่อนวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยและเงินต้นไม่ได้

การกำหนดอัตราดอกเบี้ย :

อัตราดอกเบี้ยบนหน้าพันธบัตร จะอิงกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุเท่ากันในช่วงที่ออกพันธบัตรออมทรัพย์ บวกเพิ่มประมาณ 60, 0.70 และ 0.80% สำหรับพันธบัตรออมทรัพย์อายุ 5, 7 และ 10 ปี ตามลำดับหรือพันธบัตร 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.63 + 0.6% = 4.23%, พันธบัตร 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.71 + 0.7% = 5.41% และพันธบัตร 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.44 + 0.8% = 6.24%

ผู้มีสิทธิ์ซื้อ :

บุคคลธรรมดา สหกรณ์ มูลนิธิ และนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการกุศล การศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศึกษา หรือเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างอื่น โดยมิได้มุ่งหาประโยชน์มาแบ่งปันกัน

สถานที่แจ้งความประสงค์ขอซื้อและจำหน่ายพันธบัตร :

ผู้ซื้อสามารถติดต่อที่สำนักงานใหญ่และสาขาของธนาคารออมสิน และธนาคารพาณิชย์ไทย 13 แห่ง โดยพันธบัตรออมทรัพย์ไม่มีจำหน่ายที่ธนาคารแห่งประเทศไทย



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.