6 โรคที่มักถามหาผู้บริหาร


นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2539)



กลับสู่หน้าหลัก

วัย 30-40 ปีเป็นช่วงอายุที่คนทำงานที่มีฝีมือมักประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ขณะเดียวกันแรงกดดันต่างๆก็มีเพิ่มขึ้นเพราะต้องรับผิดชอบในหน้าที่การงานเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามเก้าอี้ที่ใหญ่ขึ้น สอดคล้องกับสภาพร่างกายที่เริ่มเสื่อมถอยด้วยวัยกลางคน ทำให้ผู้บริหารมักจะถูกโรคต่างๆคุกคาม ถ้าผู้บริหารคนใดมี “ปัจจัยพื้นฐานดี” คือ ร่างกายแข็งแรง สุขภาพจิตดีและได้ออกกำลังเป็นประจำสม่ำเสมอ โอกาสที่จะเจ็บป่วยถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อก็จะน้อยกว่าผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ซ้ำยังมีความเครียดเป็นนิตย์สุขภาพจิตเสื่อมโทรม แถมยังไม่เคยออกกำลังกายเพราะเข้าใจว่าตนเองไม่มีเวลา บุคคลดังกล่าวในลักษณะนี้ มีโอกาสที่จะถูกโรคทั้ง 6 ถามหาไม่โรคใดก็โรคหนึ่งหรืออาจจะเจอแจ็กพอตเป็นคนเดียวหลายๆโรคก็ได้

6 โรคที่มักคุกคามผู้บริหาร

1. โรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่คร่าชีวิตคนในสังคมตะวันตกในอันดับต้นๆสาเหตุที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือความเครียดเป็นที่ยอมรับกันว่า ผู้บริหารเป็นกลุ่มคนที่มีความเครียดเป็นนิจเพราะมักมีเรื่องต้องวิตกกังวล ขบคิดและครุ่นคิด บ่อยครั้งมีความขัดเคืองใจไม่สบายใจจากลูกค้า เจ้านายลูกน้องหรือคนใกล้ตัว

สัญญาณเตือนภัยของโรคความดันโลหิตสูง

มีเสียงดังหวิวๆหรือหึ่งๆในหูหรือได้ยินเสียงชีพจรในศีรษะของตัวเอง เลือดกำเดาออกบ่อย เวียนศีรษะบ่อยโดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ ปวดศีรษะหรือรู้สึกหนักศีรษะ รู้สึกว่าใจสั่นบ่อย หัวใจเต้นแรงผิดปกติบ่อยๆ ขาบวม หงุดหงิดโดยไม่มีสาเหตุ อาการเจ็บปวดโดยไม่ทราบสาเหตุ เหนื่อย เพลียผิดปกติ

2. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน หรือโรคหัวใจขาดเลือด

โรคนี้เป็นสาเหตุการตายสำคัญอันดับหนึ่งของไทย สาเหตุสำคัญที่ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเกิดจากการตีบหรืออุดตันของเส้นเลือดจากการสะสมไขมัน โคเลสเตอรอล ทำให้เส้นเลือดแดงไม่สามารถนำเลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ตามปกติ ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคนี้เพิ่มขึ้นได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่และความเครียด

สัญญาณเตือนภัยของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันหรือโรคหัวใจขาดเลือด

เจ็บหน้าอก โดยเจ็บแบบกดทับหรือจุกแน่นลึกๆบริเวณใต้กระดูกหน้าอกหรือหน้าอกด้านซ้ายมักมีการเจ็บร้าวไปที่หัวไหล่ซ้ายลงไปตามแขนซ้ายด้านใน อาการเจ็บมักเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยออกแรงเช่นเดินเร็ว ยกของหนัก หรือวิ่ง หรือเมื่อรู้สึกเครียดบางครั้งอาจเกิดอาการหลังกินอิ่มจัด และอาการจะดีขึ้นเมื่อหายเครียดโดยใช้เวลา 1-2 นาที

เจ็บที่บริเวณกรามหรือสะบัก หรือแขนข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง เวลาเครียดจะเจ็บจนสังเกตได้ เหนื่อยหอบเวลาออกแรงโดยไม่เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นผิดจังหวะทำให้หน้ามืด หมดสติหรือเสียชีวิตอันเกิดจากหัวใจขาดเลือด เจ็บหน้าอกรุนแรงและนานเกินครึ่งชั่วโมง

3. โรคกระเพาะอาหาร

โรคกระเพาะก็คือ โรคระบบทางเดินอาหารขัดข้องเนื่องจากกระบวนการที่อาหารผ่านไปนั้นเกิดทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยตามมา เช่นกระเพาะยาน โรคกระเพาะอาหารไม่มีแรง กระเพาะอาหารมีกรดมากหรือน้อยเกินไป กระเพาะขยายตัวโรคประสาทกระเพาะ กระเพาะอาหารอักเสบเฉียบพลันเป็นต้น

โรคกระเพาะถือเป็นโรคยอดฮิตในหมู่ผู้บริหาร เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้มักจะต้องทำงานแข่งกับเวลา และเคร่งเครียดอยู่กับงานจนลืมที่จะรับประทานอาหาร หรือเกิดจากการดื่มสุรา สูบบุหรี่อย่างหนัก พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารได้ทั้งสิ้น

สัญญาณเตือนว่าคุณจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร

เมื่อรับประทานอาหารเข้าไปประมาณ 30 นาทีถึง 3 ชั่วโมงก็จะมีอาการปวดท้อง บางครั้งเมื่อรับประทานข้าวเสร็จก็ปวดท้องขึ้นมาในทันทีทันใด หรือปวดท้องก่อนรับประทานก็ได้ นอกจากนั้นอาจมีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย

4. โรคมะเร็งตับ

โรคมะเร็งในตับถือเป็นโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับต้นๆโดยเฉพาะเพศชายซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้มีอัตราเสี่ยงสูง ในปัจจุบันวงการแพทย์ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามะเร็งเกิดจากสาเหตุใด พแต่เพียงปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทำให้เกิดโรคมะเร็งในตับได้แก่เชื้อไวรัสตับอักเสบ โรคพยาธิใบไม้ในตับ อะฟลาท็อกซินไนโตรซามีน ที่พบอยู่ในตัวยากันบูด ตัวจับสี ปลาร้า เนื้อแห้งโดยเฉพาะอาหารที่ใส่ดินประสิว เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์หรือกรรมพันธุ์ เป็นต้น

สัญญาณเตือนภัยของโรคมะเร็งในตับ

-อาการเริ่มแรกค่อนข้างคลุมเครือ บางรายอาจจะไม่เกิดอาการอะไร
-เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ทำงานไม่ค่อยไหว จุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืดอาหารไม่ย่อย บางรายเจ็บบริเวณชายโครงข้างขวา และอาจปวดร้าวไปที่ไหล่ข้างขวาหรือบริเวณลำตัวข้างขวาทั้งหมด
-ในระยะสุดท้ายจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง บางรายอาจมีน้ำในช่องท้อง ท้องมาน บวมที่ข้อเท้า

5. โรคเบาหวาน

สาเหตุของโรคเบาหวานที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่อย่างน้อยกรรมพันธุ์ก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย นอกจากนี้โรคเบาหวานยังเกิดได้ง่ายกับคนอ้วนหรือผู้ที่รับประทานอาหารประเภทแป้งมากเกินไปรวมทั้งผู้ที่มีความเครียดอยู่ตลอดเวลาอย่างกลุ่มนักบริหาร เนื่องจากเมื่อเกิดความเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนบางอย่างออกมาทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและจะทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ในที่สุด

สัญญาณเตือนภัยของโรคเบาหวาน

-โรคเบาหวานมักพบจากการตรวจร่างกายประจำปี โดยไม่มีอาการผิดปกติให้สังเกตเห็น นอกจากอาการอ่อนเพลีย สมองมึนงงและถ้าตรวจว่าเป็นโรคเบาหวานแล้ว ต้องดูแลรักษากันตลอดชีวิตเพราะโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หาย แต่ถ้าปล่อยปละละเลยอาการของโรคจะกำเริบมากขึ้น

-อาการระยะเฉียบพลันเช่นเกิดภาวะน้ำตาลต่ำกว่าปกติ หน้ามืด เหงื่อแตก ใจสั่น
-อาการระยะเรื้อรัง เช่นปัสสาวะบ่อย คอแห้งกระหายน้ำ จากที่ปลายมือ-เท้า ตาพร่ามัว สมรรถภาพทางเพศลดลง ความต้านทานโรคต่ำ ป่วยง่ายและมีโรคแทรกซ้อนในแบบอื่นๆเช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูงและระยะสุดท้ายจะพบเบาหวานลงไตและอาจสูญเสียอวัยวะ เช่นเป็นแผลเรื้อรังที่เท้าจะต้องตัดทิ้ง

6. โรคถุงลมโป่งพอง

โรคถุงลมโป่งพองที่เกิดกับกลุ่มนักบริหาร มักจะเกิดกับผู้ที่สูบบุหรี่จัดเป็นเวลานานๆหรืออยู่ในบริเวณที่มีควันบุหรี่เป็นระยะเวลานานติดต่อกัน ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปและถือได้ว่าโรคถุงลมโป่งพองเป็นอีกโรคหนึ่งที่เป็นแล้วไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้

สัญญาณเตือนภัยของผู้ที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง

มีอาการไอ เริ่มต้นการไอแห้งๆและมักไอมากตอนกลางคืนเวลาอากาศเย็นและตอนเช้าหลังตื่นนอน มีอาการเหนื่อยเวลาออกกำลังกาย เป็นหวัด หลอดลมอักเสบบ่อยๆหรือมีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง

โรคที่กล่าวมาข้างต้น ถือเป็นโรคอันดับต้นๆที่มักเกิดขึ้นกับกลุ่มนักบริหาร ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่สภาพร่างกายกำลังเสื่อมสมรรถภาพ ตามความเป็นจริงแล้วกลุ่มผู้บริหารเหล่านี้มักไม่มีเวลาที่จะเอาใจใส่กับสุขภาพอนามัยของตนเอง เนื่องจากต้องทำงานแข่งขันกับเวลาและกระแสธุรกิจที่ผันแปรไปทุกวินาที รวมทั้งมองข้ามอาการผิดปกติเล็กๆน้อยๆของร่างกาย หากปล่อยอาการเหล่านี้ให้เรื้อรังไปเรื่อยๆก็จะลุกลามใหญ่โตจนกลายเป็นโรคร้ายที่ยากแก่การรักษา ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นเงินทองที่ท่านหามาตลอดชีวิตก็ไม่สามารถช่วยอะไรให้ดีขึ้นได้

สิ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารเหล่านี้สามารถดำเนินกิจการของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมๆกับสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์คือ แบ่งเวลาให้กับตัวเอง โดยการใช้เวลาในวันสุดสัปดาห์พักผ่อนอย่างเต็มที่ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะทำให้หัวใจและปอด มีสมรรถภาพดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความอ้วนทำให้ไขมันใต้ผิวหนังหมดไป อีกทั้งยังเป็นการลดน้ำตาลในเส้นเลือดได้อีกด้วย ควรฝึกนิสัยในการเลือกบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารเพียงพอให้ครบทุกมื้อหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก สิ่งเสพย์ติด เครื่องดื่มมึนเมา

และสิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้บริหารจะต้องทำให้ได้คือ การลดความเครียดให้ได้มากที่สุดเพราะความเครียดเป็นบ่อเกิดของโรคที่ไม่พึงปรารถนาทั้งปวงและหมั่นตรวจสุขภาพร่างกายทุกปี เพียงเท่านี้ท่านก็จะเป็นนักบริหารที่มีประสิทธิภาพ นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จโดยไม่เป็นเหยื่อของ 6 โรคดังกล่าวข้างต้น


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.