กสิกรฯ เล็งร่วมธุรกิจแบงก์จีนสบช่องปล่อยกู้ธุรกิจเอสเอ็มอี


ผู้จัดการรายวัน(21 มิถุนายน 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

ธนาคารกสิกรไทย เจรจาร่วมธุรกิจกับแบงก์พาณิชย์จีน หวังปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอีที่ยังต้องการเงินทุนมาก และมีโอกาสขยายตัวสูง หลังพบแบงก์พาณิชย์จีนมุ่งปล่อยกู้ให้แก่ธุรกิจรายใหญ่ ระบุต้องใช้เวลาเจรจาเหตุความเสี่ยงการทำธุรกิจสูง ขณะที่แผนงานในไทยยังคงยืนเป้าสินเชื่อปีนี้ แต่ต้องจับตาหนี้เสียก้อนใหม่ที่ส่งสัญญาณเพิ่มขึ้นอย่างใกล้ชิด

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในประเทศจีนว่า ธนาคารอยู่ในระหว่างการเจรจากับธนาคารพาณิชย์ในจีนเพื่อที่จะขยายช่องทางธุรกรรมทางการเงินด้านการปล่อยสินเชื่อในประเทศจีน โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)

ทั้งนี้สัดส่วนสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีในประเทศจีน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80% ของสินเชื่อรวมทั้งระบบ แต่ธนาคารยังไม่ให้ความสำคัญในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงและความไม่พร้อมในระบบต่างๆ ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่มีสัดส่วนประมาณ 20% ซึ่งธนาคารพาณิชย์ของจีนทำธุรกรรมในการปล่อยสินเชื่ออยู่แล้ว

"ธนาคารมองว่า จีนเป็นประเทศที่มีโอกาสที่จะขยายสินเชื่อด้านเอสเอ็มอีได้มาก แต่เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะระบบต่างๆ ที่ยังไม่ได้มีการพัฒนา ดังนั้นการที่จะเข้าไปลงทุนในจีน จะต้องมีการหารูปแบบธุรกิจที่เป็นรูปธรรมและลงตัว โดยเฉพาะด้านผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งสิ่งที่ธนาคารจะต้องเผชิญคือ มิติด้านการเมือง ด้านเศรษฐศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรม ดังนั้นการลงทุนในจีนจึงถือว่าเป็นการลงทุนในระยะยาว และธนาคารยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้แน่ชัดว่าจะสามารถเจรจาได้เสร็จสิ้นเมื่อไร"

สำหรับสาเหตุที่ธนาคารเลือกเข้าไปลงทุนในประเทศจีนนั้น เนื่องจากมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน และต้องการให้ความสัมพันธ์ที่มีพื้นฐานเดียวกันนี้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการแบ่งปันผลประโยชน์ ซึ่งที่ผ่านมามีหลายบริษัทประสบความสำเร็จ แต่หลายแห่งล้มเหลวเนื่องจากไม่เข้าใจในการทำธุรกิจในจีนอย่างแท้จริง ซึ่งโจทย์ที่ธนาคารจะต้องนำมาคิดคือ จะต้องทำให้ 2 ชาติ มีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างแท้จริง

"แผนในอีก 3 ปีข้างหน้าของธนาคาร คือต้องการให้บริษัททัวร์ และนักธุรกิจหันมาใช้บริการของธนาคารกสิกรไทย และนักธุรกิจจะหันไปลงทุนในจีนมากขึ้นโดยมีธนาคารเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุน และสุดท้ายธนาคารจะเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อให้แก่นักธุรกิจในจีน โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่มีขนาดใหญ่กว่าไทย 10 เท่า ทั้งในแง่ของยอดขายและวงเงินการให้สินเชื่อ ซึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างการเจรจายังบอกไม่ได้ว่าจะลงตัวเมื่อไร" นายบัณฑูรกล่าว

นายบัณฑูรกล่าวว่า หากธนาคารสามารถเริ่มดำเนินธุรกิจในจีนและทำธุรกรรมเป็นเงินหยวนได้แล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องมีการเพิ่มทุนของธนาคารด้วย ส่วนด้านสาขาจะต้องมีการขยายเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่ธนาคารมีสาขาซึ่งเป็นสำนักงานตัวแทนในปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และคุนหมิง ส่วนในฮ่องกงและเซินเจิ้นมีสถานะเป็นสาขา ซึ่งปัจจุบันสาขาทั้งหมดเพียงพอต่อธุรกรรมในปัจจุบัน

ส่วนแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปี 2548 นั้น นายบัณฑูรกล่าวว่า ในปีนี้จีดีพีน่าจะขยายตัวได้ประมาณ 5% ซึ่งเป็นระดับที่น่าพอใจ เพราะเป็นการเติบโตที่ดีในภาวะที่มีปัจจัยหลายตัวฉุดเศรษฐกิจในขณะนี้ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และโรคระบาด ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการปรับเป้าเศรษฐกิจใหม่ที่ 4.5-5.5% และคาดว่าจะเป็นไปได้ และเป็นเรื่องปกติ ที่เศรษฐกิจจะมีขึ้นหรือลงบ้าง

"แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงในปีนี้ แต่ธนาคารยังไม่มีนโยบายที่จะปรับเป้าการปล่อยสินเชื่อในปีนี้ลดลง เพราะธนาคารยังมีสภาพคล่องอยู่จำนวนมากพอสมควร รวมถึงขณะนี้ก็ยังไม่พบว่าธนาคารพาณิชย์ในระบบมีการปรับเป้าการปล่อยสินเชื่อ"

นายบัณฑูรกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ได้มีความเข้มงวดมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา เพราะธนาคารพาณิชย์ได้รับบทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา แต่ต้องยอมรับว่าขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณหนี้เสียเพิ่มขึ้นและเป็นหนี้ใหม่ ซึ่งธนาคารต้องมาติดตามและวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยแม้ว่าขณะนี้ธปท. จะส่งสัญญาณทิศทางอัตราดอกเบี้ยในขาขึ้น โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาร์พีอีก 0.25% แต่คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังปี 2548 นี้ จะยังไม่เห็นระบบธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 3 เดือนอย่างแน่นอน เนื่องจากสภาพคล่องของระบบยังมีจำนวนมากและมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการปรับขึ้นดอกเบี้ย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.