"แลนด์ฯ"เล็งปั้นแบรนด์ใหม่ลุยตลาดคอนโดฯ ระดับล่าง


ผู้จัดการรายวัน(13 มิถุนายน 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

"แลนด์แอนด์เฮ้าส์" แจงเตรียมปั้นแบรนด์ใหม่ลุยตลาดคอนโดฯ ระดับล่างในปี 49 หลังประสบความสำเร็จในตลาดคอนโดฯระดับกลาง เกาะแนวรถไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ "เดอะแบงค็อค" ชี้ตลาดระดับกลางความต้องการพุ่งพรวด พร้อมเร่งหาที่ดินใหม่ขึ้นโครงการ ย้ำยึดคอนเซ็ปต์ สร้างเสร็จพร้อมอยู่ คาดผุดเพิ่มอีก 2 โครงการปี 49 เผยยอดขาย 5 เดือนแรก 8,000 ล้านบาท

นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดเผยว่า ในปี 2549 บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่มีจำนวนดีมานด์สูง โดยจะพัฒนาภายใต้แบรนด์ใหม่ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงของการพิจารณาตั้งชื่อแบรนด์ในการทำตลาดดังกล่าวอยู่ โดยการพัฒนาโครงการในแบรนด์ใหม่นี้ บริษัทจะยังเน้นเป็นรูปแบบการพัฒนาโครงการคอนโดฯพร้อมอยู่ ตกแต่งเสร็จก่อนขาย โดยจะนำระบบก่อสร้างระบบสำเร็จรูปเข้ามาช่วยในการก่อสร้าง เพื่อควบคุมต้นทุนในการก่อสร้าง

ทั้งนี้การที่บริษัทจะพัฒนาจะใช้แบร์นดใหม่ในการพัฒนาคอนโดฯ ในตลาดล่าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน และเพื่อเป็นการกำหนดกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่ชัดเจน โดยกลุ่มลูกค้าใหม่จะเป็นกลุ่มที่มีฐานรายได้ที่แตกต่างกัน มีรูปแบบความต้องการที่ต่างกัน โดยจะเน้นการเลือกทำเล เปิดโครงการที่เกาะติดแนวรถไฟฟ้า

ส่วนแบรนด์ เดอะแบงค็อค ที่บริษัทพัฒนาอยู่ ก็จะยังใช้พัฒนาโครงการระดับกลางระดับราคา 3-5 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีคอนโดฯ ในแบรนด์เดอะแบงค็อค ซึ่งก่อสร้างเสร็จพร้อมขาย จำนวน 4 โครงการ โดยได้ปิดการขาย 2 โครงการ คือโครงการที่ถนนสุขุมวิท 61 และถนนทรัพย์ ซึ่งเปิดให้ลูกค้าจองไปเมื่อเดือนธันวาคม 47 ส่วนอีก 2 โครงการบนถนน นราธิวาสฯ ขณะนี้มียอดขายแล้ว 80% และสุขุมวิท 43 เป็นโครงการสุดท้ายที่จะเปิดขายในช่วงปลายปี คาดว่าจะปิดการขายภายใน 2-3 เดือนหลังจากเปิดการขาย

นายนพรกล่าวถึงตลาดรวมคอนโดมิเนียมว่า ในช่วงที่ผ่านมาในย่านใจกลางธุรกิจ (ซีบีดี) ในเขตสุขุมวิท, พระราม 9 และรัชดาภิเษก นับจากช่วงปี 2546 จนถึงปี 2548 พบว่าในตลาดรวมมีจำนวนอาคารชุดที่เปิดตัวใหม่ในตลาดประมาณ 18,000 หน่วย โดยในจำนวนดังกล่าว มีอาคารชุดจำนวน 2 ใน 3 ที่ถูกขายออกไปในตลาด และยังคงมีจำนวนอาคารชุดที่เหลือขายอยู่ในตลาดประมาณ 5,000-6,000 หน่วย โดยอาคารชุดที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จทั้งหมดในปี 2548 นี้

ทั้งนี้ หากแบ่งตลาดคอนโดมิเนียมออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ โดยแบ่งตามระดับราคาขาย ตั้งแต่ระดับราคา 30,000-60,000 บาทต่อตารางเมตร และระดับราคา 60,000- 120,000 บาทต่อตารางเมตร จะพบว่าปัจจุบันตลาดคอนโดมิเนียม ระดับราคา 30,000-60,000 บาทต่อตารางเมตรนั้น ส่วนใหญ่จะพัฒนาห้องพักในรูปแบบสตูดิโอ 40%, แบบห้องชุด 1 ห้องนอน 40% และแบบห้องชุด 2 ห้องนอน 20%

ส่วนห้องชุดในคอนโดมิเนียมระดับราคา 60,000 - 120,000 บาทต่อตารางเมตร สามารถแบ่งออกเป็นห้องชุดแบบห้องสตูดิโอ 20%, ห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน 20% ห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน 40% และห้องชุดแบบ 3 ห้องนอน 20% ซึ่งจากความต้องคอนโดมิเนียมระดับกลางระดับราคา 30,000-60,000 บาทต่อ ตารางเมตร ที่เป็นโครงการเกาะติดแนวรถไฟฟ้านั้น มีความต้องการสูงมากขึ้น โดยสังเกตได้จากการตอบรับของผู้บริโภคที่มาจองซื้อจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่เปิดขายโครงการในตลาดกลางดังกล่าว และซึ่งส่วนใหญ่สามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บริษัทสนใจจะหันมาพัฒนาโครงการเพื่อจับตลาดระดับกลาง

นายนพรกล่าวว่า สำหรับในช่วง 5 เดือนของปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายแล้ว 8,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดีในปีนี้ บริษัทจะพยายามรักษาระดับจำนวนสต็อกสินค้าบ้านเดี่ยวในมือไว้ให้ไม่เกิน 4,000 ล้านบาท หรือประมาณ 600 หน่วย ซึ่งจำนวนสต๊อกดังกล่าวนี้จะใช้ระยะเวลาในการระบายออกประมาณ 6-7 เดือน โดยในสต๊อกดังกล่าวจะมีสินค้าตั้งแต่ระดับราคา 2-3 ล้านบาท 4-5 ล้านบาท และ 10 ล้าน บาทขึ้นไป ส่วนจำนวนสต๊อกสินค้าคอนโดฯ ปัจจุบันมีจำนวน 20 หน่วย ซึ่งเป็นสต๊อกจากคอนโดมิเนียม 4 โครงการแรก ทั้งนี้ในปี 2547 ที่ผ่านมาบริษัทมียอดโอนสินค้าประมาณ 2,100 หน่วย ส่วนในปีนี้คาดว่าจะมียอดโอนประมาณ 4,000 หน่วยเนื่องจากมียอด โอนสินค้าที่สะสมจากปีที่แล้วซึ่งจะมาโอนได้ในปีนี้ทำให้ยอดโอนในปี 2548 นี้มีจำนวนสูงขึ้น


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.