|
"ยูนิฟ"ลดเสี่ยงดันกลุ่มอาหาร ดึงทีมไต้หวันอุดช่องโหว่-เบรกแผนบะหมี่ฯ
ผู้จัดการรายวัน(13 มิถุนายน 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
ยูนิเพรสซิเดนท์ ปรับกระบวนท่าใหม่ ดึงทีมตลาดไต้หวันเสริมทัพ สร้างความแข็งแกร่งแบรนด์ "ยูนิฟ" ติดตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพก่อน ส่วน 2-3 ปีต่อยอดธุรกิจใหม่ ลุยกลุ่มอาหารเต็มสูบ ปีหน้าปูพรมขยายไลน์เครื่องดื่มสุขภาพประเดิมนมถั่วเหลือง สินค้าใหม่ 2-3 รายการแน่ ส่วนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปติดเบรกไว้ก่อน หลังวิจัยพบตลาดสุดหิน
แหล่งข่าวจาก บริษัท ยูนิเพรสซิเดนท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำผักผลไม้และชาเขียวแบรนด์ยูนิฟ, ชาลีวัง เปิดเผยกับ "ผู้จัดการรายวัน" ว่า ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ในช่วงการปรับโครงสร้างองค์กรหลายอย่างด้วยกัน ล่าสุดได้ดึงทีมการตลาด จากบริษัทแม่ประเทศไต้หวันเข้ามาร่วมงานเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีมการตลาดของยูนิเพรสซิเดนท์ในประเทศไทย ทั้งนี้เพราะเป้าหมายของบริษัทต้องการขยายการดำเนินธุรกิจจากกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพไปสู่กลุ่มอาหาร ภายใน 2-3 ปีนี้ เนื่องจากในประเทศไต้หวันธุรกิจหลักของบริษัทแม่คือกลุ่มอาหารมากกว่ากลุ่มเครื่องดื่ม
สำหรับแผนการทำตลาดในระหว่างนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นการพัฒนาเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพออกสู่ตลาด โดยเฉพาะในปีหน้านี้ได้เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ 2-3 รายการ ซึ่งขณะนี้รอเพียงให้เครื่องจักรบรรจุภัณฑ์ ที่ใช้เทคโนโลยีอะเซพติค โคล ฟิลลิ่ง หลังจากที่ได้ลงทุนไปเป็นมูลค่า 1,400 ล้านบาท ติดตั้งเสร็จก่อน จากเดิมคาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนตุลาคม แต่ขณะนี้คาดว่าจะกินระยะไปถึงเดือนพฤศจิกายน หลังจากนั้นจะต้องทดลองเครื่องอีก 2-3 เดือนก่อน จากนั้นจะเริ่มผลิตกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ โดยประเดิมลงในตลาดนมถั่วเหลืองก่อน จากนั้นถึงขยายไลน์ไปสู่กลุ่มเครื่องดื่มอื่นๆ
"ช่วงเวลาที่เหลือเราพยายามสร้างตราสินค้าภายใต้ "ยูนิฟ" ด้วยการขยายสินค้าในกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพให้มีความแข็งแกร่งก่อน ไม่ว่าจะเป็น ยูนิฟ กรีนที, ยูนิฟ ไอเฟิร์ม, ยูนิฟ น้ำผัก ผลไม้ฯลฯ เพื่อรองรับธุรกิจกลุ่มอาหารที่บริษัทวางแผนจะรุกตลาดอย่างเต็มที่ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งปัจจุบันในไต้หวันกลุ่มอาหารมีสินค้าหลายแคธิกอรี่ด้วยกัน ประกอบด้วย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์แช่แข็งสำเร็จรูป"
แหล่งข่าวกล่าวว่า ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวยูนิฟ ไอเฟิร์ม "บลู ไอซ์" รสชาติที่สี่ลงสู่ตลาด เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับผู้บริโภค และตอกย้ำการเป็นผู้ผลิตและพัฒนาสินค้าเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ารสชาติดังกล่าวจะผลักดันให้ไอเฟิร์มมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น 12-13% จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาด 10% ขณะที่คู่แข่งสปอนเซอร์เป็นผู้นำตลาดมีส่วนแบ่ง 70% เกเตอร์เรด 10% จากมูลค่าตลาด 3,000 ล้านบาท เติบโต 15%
แนวโน้มสินค้าเพื่อสุขภาพกำลังมาแรงมากในไทย จากข้อมูลเอซีนีลเส็น พบว่าชาเขียวขึ้นมาเป็นอันดับสามของกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ ส่วนซีเรียลและโยเกิร์ตเป็นอันดับสอง ในขณะที่นมยังคงเป็นเจ้าตลาดในฐานะสินค้าเพื่อสุขภาพอยู่
แหล่งข่าวกล่าวถึงความคืบหน้าแผนการดำเนินธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทยว่า ได้เสนอให้คณะกรรมการพิจารณาแล้วตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า ทั้งนี้เพราะสภาพตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทยมีอัตราการเติบโตน้อย คือปีนี้แค่ 3% เท่านั้น อีกทั้งผู้ประกอบการในไทยทั้ง 3 ราย ยังมีความแข็งแกร่งมาก โดยปัจจุบันอัตราการบริโภคในไทยมี 30 ซองต่อคนต่อปี เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่น 40 ซองต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงและไม่ห่างกันมาก
ดังนั้นแผนการทำตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจึงชะลอไปก่อน หลังจากประมาณการว่าจะเปิดตัวในปลายปีนี้ โดยอาจจะเลื่อนเป็นปีหน้า ขณะเดียวกัน โอกาสที่บริษัทจะพับแผนการทำตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีสูงถึง 50% และหากยูนิฟจะลงมาเล่นในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจริง ก็น่าจะเป็นบะหมี่ฯ ชนิดถ้วยหรือชาม ซึ่งเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น ขณะที่บะหมี่ซองปัจจุบันอัตราการเติบโตลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนจะลงมาในเซกเมนต์ไหนคงจะต้องมาพิจารณากันอีกครั้ง เพราะบริษัทแม่ในประเทศไต้หวันมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่พรีเมียม สแตนดาร์ดและอีโคโนมี
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของบริษัทยังคงมาจากชาเขียวพร้อมดื่มเป็นหลักถึง 60% น้ำผลไม้ 25% อีก 15% เป็นอื่นๆ โดยไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในเอเชีย เมื่อเทียบกับไต้หวันเติบโตเพียง 10%
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|