|

เออาร์ทีปรับเกมใหม่พร้อมเป็นรัฐวิสาหกิจโต้ "วัฒนา" ธุรกิจยังดี
ผู้จัดการรายวัน(8 มิถุนายน 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
ประธานเออาร์ที ยอมรับปรับสภาพบริษัทเป็นรัฐวิสาหกิจ เหตุจะได้มีความชัดเจนและรัฐช่วยเหลือได้เต็มที่ ลั่นยังไม่มีใครถอนหุ้นออก ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอน เอ็มดีใหม่เปิดแผนมั่นใจอนาคตใสเติบโตดี เพิ่มเป้ายอดขายเป็น 415 ล้านบาท สิ้นปีนี้โต 683%
นางเพ็ญนภา ธนสารศิลป์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทรวมค้าปลีกเข้มแข็ง จำกัด หรือ เออาร์ที กล่าวว่า เออาร์ทีตั้งมาจากมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งถ้าหากจะยุบก็ต้องเป็นมติครม.เช่นกัน ซึ่งขณะนี้การดำเนินงานทุกอย่างเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นแล้ว เรื่องของการขาดทุน 108 ล้านบาทนั้น เป็นการขาดทุนทางด้านบัญชี เพราะจุดประสงค์ของเออาร์ทีคือไม่ได้แสวงหากำไรอยู่แล้ว
หากจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นรัฐวิสาหกิจตามที่มีข่าวออกมานั้น ก็คงต้องเป็นเรื่องของทางนโยบาย แต่ก็ถือเป็นการดี เพราะจะได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐเต็มที่ ซึ่งเออาร์ทีนั้นเป็นบริษัทเอกชนแห่งแรกที่ใช้เงินของภาครัฐมาลงทุน จึงทำให้มีปัญหาและความไม่ชัดเจนขึ้นมาตลอด ส่วนขั้นตอนที่จะให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมหรือสสว. ถอนหุ้นออก 51% นั้น ยังไม่ได้รับการแจ้งอย่างเป็นทางการ ขอให้เป็นขั้นตอนของภาครัฐ เพราะว่ายังไม่มีการสรุปออกมา ส่วนกรณีในอนาคตที่จะมีการรวมกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าด้วยกันนั้น เป็นเรื่องของอนาคตยังตอบไม่ได้
ปัจจุบันเออาร์ทีมีทุนจดทะเบียน 395 ล้านบาท และยังไม่มีแผนเพิ่มทุนจดทะเบียน เพราะไม่ได้ลงทุนอะไรมาก และมีรายได้เพียงแค่ 1% จากยอดขายของร้านค้าต่อเดือนที่นำมาเป็นค่าบริหารจัดการเท่านั้น
นายพิทักษ์ ตันพิบูลย์วงศ์ กรรมการผู้จัดการคนใหม่ของเออาร์ที เปิดเผยว่า หลังจากเข้ามารับตำแหน่งแล้ว ได้มีการประชุมและกำหนดแผนงานร่วมกันกับทางคณะกรรมการของบริษัทฯ เพื่อวางแนวทางการดำเนินงานใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยได้ทำการปรับแผนเก่าบางส่วนและเป้าหมายด้วยเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์
การดำเนินงานในขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก โดยสรุปผลการดำเนินงานและจำนวนร้านค้ารวมทั้งเป้าหมาย ในอนาคตมีดังนี้ 1.ร้านค้าต้นแบบ เมื่อสิ้นปีที่แล้วมีจำนวน 18 ร้านค้า มียอดขายรวม 13 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีประมาณ 80 ร้านค้า ซึ่งผู้ที่เปิดร้านค้าต้นแบบไปแล้วก็มีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีกเช่น ร้านออลไทม์ซึ่งเป็นรายแรกของเออาร์ที จะเปิดอีกประมาณ 10 สาขา 2.ร้านค้าสมาชิก ซึ่งขายสินค้าที่หมุนเวียนเร็ว โดยขณะนี้มีจำนวน 14,000 รายแล้ว ปีที่แล้วมียอดขายรวม 40 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายสิ้นปี 2548 จะมีจำนวน 20,000 ราย ยอดขายรวม 272 ล้านบาทหรือเติบโตขึ้นประมาณ 581%
3.กลุ่มสินค้าโอทอปซึ่งเป็นพันธกิจที่ได้รับมอบหมายจากภาครัฐ โดยจะใช้เครือข่ายของเออาร์ทีเป็นช่องทางการจำหน่ายให้กับสินค้าโอทอปทั้งหลาย ที่ร่วมมือกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าคัดเลือกสินค้ามาวางขายขณะนี้มีประมาณ 18 เอสเคยู วางเป้าหมาย เพิ่มเป็น 80 เอสเคยูสิ้นปีนี้ จากซัปพลายเออร์กว่า 20 ราย โดยปีที่แล้วมีรายได้รวมจากกลุ่มโอทอป โดยสิ้นปีที่แล้วมียอดขายรวมแค่ 140,000 บาท ตั้งเป้าสิ้นปีนี้มียอดขายรวม 37.5 ล้านบาท
ทั้งนี้เป้าหมายรวมถึงสิ้นปีนี้ คาดว่าจะมียอดขายรวมจากทุกกลุ่มประมาณ 415.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาประมาณ 683% จากเดิมปีที่แล้วมียอดขายรวม 53 ล้านบาทเท่านั้น และคาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 700 ล้านบาทในปีหน้า และปีถัดไปคาดว่าจะเป็น 1,000 ล้านบาท ซึ่งขอย้ำว่าเป็นยอดขายไม่ใช่ยอดรายได้ของบริษัทฯ โดยมีซัปพลายเออร์ทั้งรายเล็กรายใหญ่รวมกันกว่า 60 รายที่ทำการค้ากัน
"การที่เออาร์ทีมั่นใจว่าจะมีการเติบโตที่มากเช่นนี้ เพราะมีหลายองค์ประกอบคือ จำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นทั้งแบบร้านค้าต้นแบบและร้านค้าสมาชิก นอกจากนั้นสินค้าโอทอปก็เป็นที่ได้รับความนิยมมากขึ้น อีกทั้งมีแหล่งการเงินมาช่วยเหลือสนับสนุนกับผู้ที่สนใจจะลงทุนด้วยไม่ว่าจะเป็นธนาคารออมสิน ธนาคารเอสเอ็มอีแบงก์ เป็นต้น และในอนาคตมีแผนที่จะนำเอาบริการต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมาบริการไว้ในร้านของเออาร์ทีด้วยเช่น รับบริการค่าชำระต่างๆ หรือการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐ เป็นต้น" นายพิทักษ์กล่าว
นอกจากนั้นยังมีรูปแบบคีออสที่อยู่ระหว่างการเริ่มต้นด้วย ลงทุน 40,000 บาท มีสินค้า 200 รายการ ตั้งขายย่านชุมชน ตั้งเป้าเดือนละ 100 คัน และยังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบลอจิสติกส์ที่ทำร่วมกับบริษัทยูนิเวอร์แซลด้วย
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|