Tamarind หมู่บ้านล้านนากลางเวียง

โดย ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์
นิตยสารผู้จัดการ( มิถุนายน 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

ไม่น่าเชื่อว่าในซอยเล็กๆ ลึกไม่เกิน 50 เมตร ริมถนนราชดำเนิน ซึ่งปลูกต้นไผ่เป็นแนว 2 ข้างทาง แต่งโค้งราวกับซุ้มประตูจะซ่อนไว้ด้วยบรรยากาศของหมู่บ้านล้านนาในอดีต ที่มีเรื่องราวต่างๆ ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษา

มีบ่อยครั้งสำหรับคนที่เพิ่งมาที่ Tamarind Village เป็นครั้งแรก จะหาโรงแรมแห่งนี้ไม่พบ เพราะนอกจากแนวต้นไผ่ที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมแล้ว ด้านหน้ามีเพียงป้ายผ้าที่ห้อยยาวลงมาในลักษณะตุงของเมืองเหนือ ที่เขียนตัวอักษร Tamarind เอาไว้เท่านั้น

"เราเคยพูดกันเล่นๆ ว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกันที่โรงแรมของเราหายาก เพราะแสดงว่าคนที่หาเจอเป็นคนที่อยากมาหาเรา จริงๆ" อมรดิษฐ์ สมุทรโคจร ผู้จัดการทั่วไป Tamarind Village ที่ในนามบัตรระบุตำแหน่งว่าเป็น Chief de Village บอกกับ "ผู้จัดการ"

Tamarind Village ถือเป็น boutique hotel แห่งแรกๆ ที่เปิดขึ้นก่อนที่กระแสบูมของ boutique hotel ในเชียงใหม่จะเริ่มต้น

แม้โดยภาพภายนอก อมรดิษฐ์จะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของโรงแรมแห่งนี้ แต่เขายืนยันว่าเขาเป็นเพียงมืออาชีพที่เข้ามาบริหาร

จุดเริ่มต้นของ Tamarind Village เกิดขึ้นประมาณปลายปี 2543 จากก๊วนกอล์ฟซึ่งล้วนเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน 5-6 คน ที่มักจะบินขึ้นมาตีกอล์ฟที่เชียงใหม่เป็นประจำ เฉลี่ย 2-3 สัปดาห์ต่อครั้ง และต้องการจะประหยัดค่าที่พัก จึงหาซื้อที่ดิน โดยหวังจะสร้างเป็นเกสต์เฮาส์ ขนาดประมาณ 10-15 ห้อง ส่วนหนึ่งเอาไว้สำหรับพักผ่อนยามขึ้นมาตีกอล์ฟที่เชียงใหม่ ส่วนที่เหลือเปิดให้เช่าเพื่อนำรายได้มาเป็นค่าใช้จ่าย

แต่เมื่อองอาจ สัจจพันธุ์ สถาปนิก ซึ่งเป็นญาติของ 1 ในก๊วนกอล์ฟนี้ได้ขึ้นมาดูสถานที่ คอนเซ็ปต์เดิมที่จะสร้างเป็นเกสต์เฮาส์จึงถูกเปลี่ยน

"อาจารย์องอาจท่านมาดู เห็นต้นมะขามใหญ่อายุ 120 ปี ตั้งอยู่โดยมียอดของเจดีย์วัดอุโมงค์น้อยมองเห็นเป็นฉากหลัง ท่านจึงเกิดแรงบันดาลใจให้ออกแบบโรงแรมมาเป็นแบบนี้" อมรดิษฐ์เล่า

อมรดิษฐ์เข้ามามีส่วนร่วมใน Tamarind Village ตั้งแต่เริ่มต้นก่อสร้าง ในฐานะรุ่นพี่ที่ถูกรุ่นน้องขอร้องให้เข้ามาช่วยเป็นที่ปรึกษา เพราะขณะนั้นเขายังมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมเชียงใหม่สปอร์ตคลับ แต่หลังจากโรงแรมสร้างเสร็จยังหาผู้จัดการทั่วไปไม่ได้ ในที่สุดอมรดิษฐ์ก็เข้ามารับตำแหน่งดังกล่าว

อีกเหตุผลหนึ่งอาจจะเนื่องมาจาก โรงแรมเชียงใหม่สปอร์ตคลับขณะนั้น ถูกเปลี่ยนมือโดยการเข้ามา take over ของเจริญ สิริวัฒนภักดี แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นโรงแรมอิมพีเรียล เชียงใหม่สปอร์ตคลับ

คอนเซ็ปต์ของ Tamarind Village สร้างโดยความพยายามเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของล้านนาในอดีต ตัวอาคารถูกสร้างเป็นรูปทรงล้านนาประยุกต์ ซึ่งเกิดขึ้นมากเมื่อประมาณ 100 กว่าปีก่อน ในช่วงที่มีชาวตะวันตกเดินทางเข้ามาใช้พื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตใบยาสูบ และทำสัมปทานป่าไม้

"ลูกค้าที่มาพักเขามักถามว่าทำไมเป็นอย่างนี้ เราก็จะตอบว่าเพราะมันเป็นกึ่งล้านนา คือสมัยก่อนชาติแรกๆ ที่เข้ามาทางเหนือ จะเป็นมิชชันนารีกับพวกบริติชที่มาทำใบยากับทำไม้ จริงๆ มันก็คือบ้านแนวล้านนา แต่พวกฝรั่งที่มาอยู่เขาต้องการให้คนรู้ว่ามีความแตกต่างจากบ้านชาวบ้านทั่วไป เขาก็เลยเพนต์บ้านให้เป็นสีขาว"

ภายในพื้นที่ 2 ไร่ ได้มีการก่อสร้างอาคารลักษณะดังกล่าวไว้เป็นกลุ่มๆ ตามคอนเซ็ปต์ที่ถูกวางให้เป็นหมู่บ้าน อาคารเหล่านี้บรรจุห้องพักไว้เพียง 40 ห้อง ทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับระเบียงพรต ซึ่งพระภิกษุในล้านนาใช้เป็นสถานที่เดินจงกรม ส่วนห้องอาหารที่ตั้งอยู่ริมสระน้ำ ออกแบบตามลักษณะของยุ้งข้าวดั้งเดิมของภาคเหนือ

เดิม Tamarind Village กำหนดจะเปิดให้บริการประมาณเดือนตุลาคม 2544 แต่วันที่ 9 กันยายน เกิดเหตุการณ์ 911 ที่สหรัฐอเมริกา กำหนดการเดิมจึงเลื่อนมาทดลองเปิดให้บริการครั้งแรกในช่วงคริสต์มาสของปีเดียวกัน โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่เข้ามาใช้บริการเป็นกรุ๊ปทัวร์ชาวไทยจากหนุ่มสาวทัวร์

ต้นปี 2545 Tamarind Village ได้เริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ โดยตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่ Tamarind Village เข้าไปจับคือกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น หลังจากนั้นขยายไปยังตลาดยุโรป ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา ซึ่ง 2 กลุ่มหลัง ส่งผลให้ชื่อของ Tamarind Village เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางขึ้น

Tamarind Village เปิดให้บริการได้เพียงประมาณ 4 เดือน โรงแรมแห่งนี้ก็ได้รับรางวัล The best construction new building that keep traditional Lanna จากสมาคมสถาปนิกสยาม

นอกจากสภาพทางกายภาพของโรงแรมที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของล้านนาในอดีตแล้ว สภาพทางภูมิศาสตร์ของโรงแรมได้กลายเป็นจุดขายสำคัญ

ความที่เป็น boutique hotel แห่งเดียวที่ตั้งอยู่กลางคูเมืองเก่า กลายเป็นจุดที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกให้เข้ามาพักยังโรงแรมแห่งนี้ได้

Tamarind Village ตั้งอยู่ใกล้สี่แยกกลางเวียง ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางระหว่างข่วงประตูท่าแพกับวัดพระสิงห์

นักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะจากยุโรปและอเมริกา ต่างให้ความสำคัญกับความเป็น old town เมื่อรวมกับการได้รับรางวัลที่เหมือนเป็นการันตีจากสมาคม สถาปนิกสยาม ทั้ง 2 สิ่งนี้บรรจุไว้ในเว็บไซต์ของ Tamarind Village จึงทำให้

"คนที่ได้อ่านแล้วเขา crazy เรามาก"

ปีที่แล้ว ไมลส์ คูเปอร์ อดีตเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ที่เพิ่งย้ายไปประจำประเทศอื่น เมื่อต้นปี 2548 ได้พาครอบครัวเข้ามาพักที่ Tamarind Village ทั้งๆ ที่เพิ่งกลับไปกรุงเทพฯ ได้เพียง 1 สัปดาห์ หลังจากตามเสด็จสมเด็จ พระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ที่เสด็จขึ้นมาตรวจเยี่ยมโครงการในพระราชดำริที่เชียงใหม่

อมรดิษฐ์ได้ถามทูตคูเปอร์ว่าทำไมถึงกลับมาอีก "ท่านถามกลับว่าอมรดิษฐ์ you รู้จักสถานทูตออสเตรเลียไหม ผมบอกผมรู้ ผมคนกรุงเทพฯ สถานทูตออสเตรเลียอยู่บนถนนสาทร ท่านบอกว่าท่านพักอยู่บนนั้น ห้องทำงานก็อยู่บนนั้น มันเป็นตึกหมดเลย แล้วตอนตามเสด็จฯ ขึ้นมาก็นอนอยู่ที่โรงแรมเวสทินก็เป็นตึก เพียงแต่เช้าขึ้นมีรถตำรวจพาไปดูโครงการ ตกเย็นก็กลับไปตรงนั้น"

"ท่านบอกว่าท่านต้องการมาพักผ่อน"

ทูตคูเปอร์พักอยู่ที่ Tamarind Village ประมาณ 1 สัปดาห์ สิ่งที่ทูตคูเปอร์ภูมิใจที่สุดคือ เวลาไปไหนแล้วเจอคนออสเตรเลีย ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาเป็นเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย

กิจวัตรประจำของทูตคูเปอร์คือ การขี่จักรยานเที่ยวในเขตเมืองเก่าของเชียงใหม่ ตอนใกล้กลับกรุงเทพฯ ทูตคูเปอร์บอกกับอมรดิษฐ์ว่า "you รู้ไหม รอบคูเมืองเก่านี่มีคุณค่ามหาศาลเลย ท่านบอกว่า you ลองขี่จักรยาน แต่ละจุดจะมีวัดวาอาราม ตึกเก่าๆ เฉพาะใกล้ๆ นี่ไม่ต่ำกว่า 5-6 วัด ผมฟังนี่ขนลุกเลย เพราะอันนี้คือสิ่งที่เรามีพร้อมที่จะขายอยู่แล้ว แต่เรากลับไปขายอย่างอื่น"

Tamarind Village เพิ่งให้บริการครบ 3 ปีเต็มไปเมื่อต้นปีนี้ ด้วยอัตราค่าห้องพักคืนละ 4,000-6,000 บาท ตามแต่ช่วงของฤดูกาล

ปี 2545 ซึ่งเป็นปีแรกของการให้บริการ อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของ Tamarind Village อยู่ที่ 38% ปี 2546 ขยับขึ้นมาเป็น 76% และเพิ่มเป็น 93% ในปี 2547

กว่า 90% ของแขกที่มาพักเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเกรดบีบวกขึ้นไปจนถึงเกรดเอ

"ปีนี้เราตั้งไว้ว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดน่าจะได้ 96% แต่ไตรมาสแรกผ่านมารวมถึง 4 เดือน จากเป้าที่เราตั้งไว้ 96% ทะลุเป้าไปแล้วทุกเดือน" อมรดิษฐ์ยืนยัน

ความสำเร็จของ Tamarind Village ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้เกิดการรวมกลุ่มกันในนาม Hotel de Charm เพราะหลายครั้งที่มีแขกต้องการมาพักที่ Tamarind แต่ห้องพักเต็ม จึงมีการร้องขอให้อมรดิษฐ์แนะนำที่พักแห่งอื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน

ประกอบกับ 2 ปีที่ผ่านมา กระแสของ boutique hotel บูมขึ้นมากในเชียงใหม่ แต่ผู้ลงทุนหลายรายไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจ และขาดความชำนาญด้านการตลาด

การแนะนำหรือส่งต่อแขกซึ่งกันและกัน ตลอดจนการปรึกษาหารือระหว่างกัน ทำให้เกิดการรวมกลุ่มกันเป็น Hotel de Charm


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.