บางจากหวังเทียบไทยออยล์ แทงกั๊กปตท.ซื้อหุ้นเพิ่มทุน


ผู้จัดการรายวัน(24 พฤษภาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

'บางจาก" เดินตามแผนยุทธศาสตร์ปรับโครงสร้างธุรกิจและแก้ไขปัญหาหนี้สิน ระยะที่ 2 หลังประสบความสำเร็จจับมือไทยออยล์ สั่งน้ำมัน-กลั่นน้ำมัน สร้างมูลค่าเพิ่ม เผยแผนสร้างโรงกลั่นปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตาเสร็จปลายปี 2550 งบ 250 ล้านเหรียญสหรัฐ มาจากการเพิ่มทุน 150 ล้านเหรียญ เล็งขายหุ้นให้พันธมิตรและขายพีโอให้ประชาชน แทงกั๊ก ปตท.เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน ระบุอยู่ระหว่างเจรจาหลังต่างประเทศสนใจหลายราย ชี้ต้องละเอียดรอบคอบก่อนสรุปเป็นทางการเหตุ เป็นมหาชนทั้งคู่ เงินที่เหลือใช้กู้ 100-150 ล้านเหรียญ คาดสรุปพันธมิตร ก.ค.นี้

เกือบ 2 ปี ที่บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เดินตามแผนยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างธุรกิจและแก้ไขปัญหาหนี้สิน ไม่ว่าจะเป็นการออกใบสำคัญแสดงสิทธิในผลประโยชน์ ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (Depository Receipts:DR) หรือ ดีอาร์หุ้นสามัญ และดีอาร์หุ้นกู้แปลงสภาพ รวมมูลค่า 7 พันล้านบาท จนเป็นที่ฮือฮาในวงการตลาดหุ้นไทย พลิกสถานะบริษัทบางจากจากที่เคยมีผลประกอบการขาดทุนให้มีกำไรได้ ล่าสุดบริษัทบางจากอยู่ระหว่างการดำเนินตามแผนยุทธศาสตร์ขั้นที่ 2 ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ครั้งสำคัญ ซึ่งจะแปรสภาพโรงกลั่นบางจากให้ไม่ด้อยไปกว่าโรงกลั่นไทยออยล์

นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบัญชีและการเงิน บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างทางการเงินและธุรกิจ โดยอยู่ในขั้นที่ 2 ซึ่งได้มีการดำเนินงานร่วมกับบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ต่อเนื่องและดีมากขึ้น หลังจากที่ประสบความสำเร็จในปี 2547 โดยการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางร่วมกับไทยออยล์ ทำให้มีคำสั่งซื้อที่มากขึ้น ทำให้สามารถลดค่าขนส่งต่อบาร์เรล และคุณภาพของน้ำมันตรงกันทำให้สามารถร่วมกันกำหนดการผลิต

"เมื่อนำน้ำมันเตาไปแปลงสภาพที่ไทยออยล์ ทำให้ได้น้ำมันใสมากขึ้น เนื่องจากไทยออยล์มีกำลังเหลืออยู่ ซึ่งเป็นผลดีต่อทั้ง 2 บริษัท"

แผนงานขั้นที่ 2 ที่กำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้ คือ โครงการปรับคุณภาพน้ำมันโดยติดตั้งหน่วยผลิต (PQI) ปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตา โดยลดปริมาณน้ำมันเตาจากเดิมที่มี 30% ให้เหลือ 9% ให้เป็นน้ำมันใส (เบนซิน หรือดีเซล) มากขึ้นซึ่งจะช่วยทำให้บริษัทมีรายได้มากขึ้น เพราะราคาน้ำมันเตาจะต่ำกว่าน้ำมันใส 7-8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

คาดว่าจะก่อสร้างโรงกลั่นจะเสร็จในปลายปี 2550 และสามารถดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ปี 2551 โดยมีงบประมาณการใช้เงินลงทุน 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบหน่วยการกลั่น โดยว่าจ้างบริษัท ยูโอพี ประเทศสหรัฐอเมริกา และฟอสเตอร์ วีลเลอร์ออกแบบร่วมกัน และจะเปิดให้ผู้รับเหมาเข้ามาร่วมประมูลในไตรมาส 3 ปี 2548 และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาส 4

สำหรับเงินลงทุนในโครงการดังกล่าวจำนวน 250 ล้านเหรียญสหรัฐ จะมาจากการเพิ่มทุนประมาณ 150 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะมีการเสนอขายหุ้นเพิ่ม ทุนแก่พันธมิตรประมาณ 120-130 ล้านเหรียญ ที่ผ่านมามีกลุ่มต่างประเทศแสดงความสนใจเข้ามาร่วม ลงทุนหลายราย แต่ยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการออกมา โดยอยู่ระหว่างการเจรจา

"อาจเป็นไปได้ว่า มีบริษัท ปตท. หรือรายอื่นก็ได้ ซึ่งจะสรุปได้ใน ก.ค.นี้ ส่วนอีก 30 ล้านเหรียญสหรัฐ อาจจะเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป ทุกอย่างยังไม่สรุป แต่เม็ดเงินอีกประมาณ 100-150 ล้านเหรียญสหรัฐ จะมาจากเงินกู้ ซึ่งการกู้เงินที่กำหนดไว้อีกประมาณ 100-150 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นการสำรองเผื่อไว้ก่อน"

บริษัทคาดว่าน่าจะสามารถสรุปพันธมิตรเข้ามาถือหุ้นได้ภายในเดือน มี.ค. โดยขณะนี้ยอมรับว่ามีผู้ให้ความสนใจจะเข้ามาร่วมลงทุนจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นต่างประเทศ แต่บริษัทต้องการพันธมิตรที่เป็นชาวไทยมากกว่า เพราะบริษัทบางจากก็เป็นบริษัทของคนไทย

ในขณะนี้มีรายชื่อของพันธมิตรที่ประกอบธุรกิจน้ำมันอยู่ในมือแล้ว และคาดว่าจะมีการเริ่มเจรจากับ ปตท.แต่ต้องทำข้อมูลต่างๆ อย่างเป็นทางการเพราะว่าเป็นบริษัทมหาชนทั้งคู่ จึงต้องมีการลงรายละเอียดของข้อมูล ศึกษาข้อมูลร่วมกันก่อนเปิดเผยข้อมูลและเผยแพร่ต่อไป

นายปฏิภาณ กล่าวว่า หากโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (PQI) เสร็จในปลายปี 2550 จะทำให้โรงกลั่นของบริษัทบางจากมีคุณภาพที่ดีไม่ต่างจากโรงกลั่นของบริษัท ไทยออยล์ บริษัท ระยองเพียว ซึ่งบริษัทจะได้รับค่าการกลั่น 7-8 เหรียญ ทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ของโรงกลั่นเพิ่มสูงขึ้นเป็น 70% จากเดิมที่มี 55% ซึ่งจะทำให้รายได้ด้านการตลาด (มาร์เกตติ้ง) เหลือ 30%

ส่งผลให้มีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) ก้าวกระโดด ราคาหุ้นของบริษัทบางจาก ก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ขณะนี้ราคาหุ้นบริษัทบางจากเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 13 บาทต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีของ บริษัท (บุ๊กแวลู) ซึ่งอยู่ที่ 15.30 บาท เพราะนักลงทุน ไปให้ความสนใจลงทุนในหุ้นบริษัทไทยออยล์มากกว่า เนื่องจากบริษัทไทยออยล์มีกำลังการผลิตที่สูงกว่า

ความสามารถชำระหนี้ที่มีในธนาคารกรุงไทยได้เร็วขึ้น จากปัจจุบันมีภาระหนี้อยู่ 12,500 ล้านบาท คิดเป็นหนี้สินต่อทุน หรือดีอีเรโช (D/E) 1:1เท่า

นายปฏิภาณกล่าวว่า บริษัทคาดการณ์รายได้ปี 2548 จะใกล้เคียงกับปี 2547 ที่มีรายได้ 79,207 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) 4,890 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2,612 ล้านบาท เนื่องจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และจากการที่บริษัทมีการปรับภาพลักษณ์สถานีน้ำมันบางจาก

ทั้งนี้บริษัทได้มีการดำเนินงานปรับปรุงภาพลักษณ์สถานีน้ำมันในปีนี้เป็นเฟสที่ 2 ซึ่งประสบความสำเร็จที่ดี และการสร้างตราสินค้าให้เป็นที่รู้จักของประชาชน โดยปัจจุบันบริษัทมีสถานีน้ำมัน (ปั๊ม) ประมาณ 1,100 สถานีทั่วประเทศ

รวมถึงการที่บริษัทเป็นผู้ให้บริการแก๊สโซฮอล์ อันดับ 1 โดยเดือน มี.ค.-เม.ย. มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 15-16 ล้านลิตรต่อเดือนจากเดิม 3 ล้านลิตรต่อเดือน

"ที่ผ่านมาประชาชนไม่ค่อยกล้าที่จะใช้เพราะกลัวว่าเครื่องยนต์จะเสียหาย แต่รัฐบาลสนับสนุนเงินส่วนนี้ 75 สตางค์ และผู้ผลิตอีก 75 สตางค์ ดังนั้นทำให้ราคาแก๊สโซฮอล์ต่ำกว่าราคาน้ำมัน 95 อยู่ 1.50 บาท จึงทำให้มีการใช้มากขึ้น"

ปัจจุบันบริษัทบางจากมีปั๊มที่มีแก๊สโซฮอล์ 400 ปั๊ม จะเพิ่มให้ได้ 450 ปั๊มในปีนี้ โดยมีสัดส่วนรายได้ที่โรงกลั่น 55% ส่วนด้านการตลาดจะมีสัดส่วนรายได้ 45%

สำหรับแนวโน้มรายได้ไตรมาส 2/2548 คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2548 ที่มีรายได้ 17,867 ล้านบาท EBITDA 780 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 438 ล้านบาท เพราะถึงแม้ราคาขายน้ำมันจะลดลง แต่การมีกำลังการผลิตที่กลับสู่ภาวะปกติในระดับ 80,000-90,000 บาร์เรลต่อวัน และจากความต้องการใช้ยังมีอัตราการเพิ่มขึ้น 5-6% ซึ่งจะสูงกว่าการเติบโตของGDP และค่าการกลั่นก็จะอยู่ระดับเดียวกับไตรมาส1

สำหรับค่าการกลั่นคาดว่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2548 ซึ่งราคาน้ำมันก็ยังทรงตัวในระดับที่สูงอยู่ ซึ่งอาจจะมีการปรับตัวลดลงบ้างเล็กน้อยในไตรมาส 2-ไตรมาส 3 จากการที่ประเทศจีนมีการหยุดจับปลา แต่จากความต้องการใช้น้ำมันยังคงสูงอยู่ในช่วงฤดูหนาว

ไตรมาส 1/2548 บริษัทมีรายได้ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปี 2547 เนื่องจากบริษัทได้มีการหยุดซ่อมบำรุงทำให้มีกำลังการผลิตลดลงเหลือ 70,000 บาร์เรลต่อวัน จากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาที่มี 96,000 บาร์เรลต่อวัน และจากราคาขายปลีกหรือมาร์เกตติ้งมาร์จิ้นลดลงจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมาก น้ำมันใสที่สิงคโปร์ก็เพิ่มสูงขึ้น แต่ราคาตลาดของไทยปรับตัวช้ากว่าปกติทำให้มาร์เกตติ้งมาร์จิ้นเหลือ 12-13 สตางค์ต่อลิตร จากเดิมที่ 40 สตางค์ต่อลิตร

ปัจจุบันบริษัทบางจากมีสภาพเป็นบริษัทเอกชน ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ เนื่องจากขณะนี้กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ 22% ปตท.ถือหุ้นอยู่ 8% ซึ่งเมื่อบริษัทบางจากเพิ่มทุนสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังจะลดลง เพราะการขายหุ้นเพิ่มทุนเสนอขายให้กับพันธมิตรไม่ได้เสนอขายให้กระทรวงการคลัง

แต่อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังก็ยังคงทำหน้าที่ค้ำประกันดีอาร์ หรือ BCP-DR ที่มีอยู่ 7,000 กว่าล้านบาทก่อนหน้านี้ โดยแบ่งเป็น CS DR (BCP-DR) หรือดีอาร์หุ้นสามัญบางจากที่เทรดกันในตลาดหุ้น และ CD DR หรือ ดีอาร์หุ้นกู้แปลงสภาพ ซึ่งอยู่ในรูปหุ้นกู้แปลงสภาพที่ลิสต์อยู่ในศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้แห่งประเทศไทย

ทั้งนี้เงื่อนไขการแปลงสภาพของดีอาร์กำหนดไว้ว่า หาก CS DR สูงเกิน 20.80 บาท เป็นเวลา 15 วันติดต่อกัน การการันตีหรือค้ำประกันโดยกระทรวง การคลังก็ปลดไปโดยอัตโนมัติ เป็นหุ้นสามัญปกติ ส่วน CD DR กำหนดว่าถ้า CS DR เกินกว่า 21.45 บาทเป็นเวลา 15 วันติดต่อกัน ก็ให้กลับมาเป็นหุ้นสามัญ นายปฏิภาณกล่าวว่า ขณะนี้ถือว่ายังไม่มีการปลดภาระการันตีโดยอัตโนมัติ แต่ CD DR มีในส่วนของการคอนเวิร์สหรือแปลงสภาพโดยสมัครใจ ซึ่งแปลงสภาพที่ 14.30 บาท โดยขณะนี้ราคา BCP-DR ในตลาดอยู่ประมาณ 13.70 บาท ปัจจุบันจึงยังไม่มีการแปลงสภาพ แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ราคาหุ้น ขึ้นไป 14-15 บาทช่วงหนึ่งได้มีนักลงทุนมาแปลงสภาพไปบางส่วนประมาณ 1,400 ล้านบาท ซึ่งเท่า กับว่าปัจจุบันกระทรวงการคลังปลดภาระประมาณ 1,400 ล้านบาท จะส่งผลต่อการที่ CD DR และ CS DR ที่ออกเมื่อปีที่แล้ว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.