ขุมทรัพย์ในบ้านอธึก อัศวานันท์

โดย อรวรรณ บัณฑิตกุล
นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

เพื่อนเก่าที่ว่าก็คือ บรรดาหนังสือทั้งหลาย ที่หากนักอ่านนักสะสมคนใดมาเห็นเข้าแล้วจะต้องตะลึง เพราะนอกจากจะมีจำนวนมากมายแล้ว บางเล่มยังเก่าแก่ และหาอ่านได้ยากมากๆ ด้วย

บ้านหลังนี้สร้างเสร็จเมื่อ 2 ปีก่อน ก่อสร้างโดยบริษัทอิตาเลียนไทยดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งไม่ค่อยรับงานก่อสร้างบ้านให้ใครง่ายๆ แต่คราวนี้เป็นเพราะอธึกเป็นเพื่อนกับอดิศร จรณจิตต์ ลูกเขยหมอ ชัยยุทธ กรรณสูต และเมื่อเริ่มลงมือสร้างบ้าน สถาปนิก และผู้รับเหมา ได้รับโจทย์อย่างหนึ่งจากเจ้าของบ้านคือ ต้องเตรียมโครงสร้างสำหรับรองรับห้องหนังสือขนาดใหญ่เป็นพิเศษไว้ด้วย

ก่อนที่จะมารับตำแหน่งรองประธานกรรมการ และหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกฎหมายให้กับบริษัทเทเลคอมเอเซีย คอร์ปอเรชั่น (TA) นั้น อธึกคือนักกฎหมายคนสำคัญของสำนักงานกฎหมาย Baker & McKenzie ที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการสำคัญๆ ระดับชาติมาแล้วมากมายหลายโครงการ

งานแต่ละชิ้นมีเนื้อหาแตกต่างกันไป เป็นเรื่องราวใหม่ๆ ที่ต้องหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา เช่น การเปิดสาขาครั้งแรกของดอยช์แบงก์ หรือยูโรเปียนเอเชียนแบงก์ ซึ่งเป็นงานใหญ่ชิ้นแรกที่เขาต้องเรียนรู้เรื่องการเงินจนเข้าใจ การเข้าไปเป็นตัวแทนด้านกฎหมายให้กับบริษัทไทยออยล์ ก็ต้องศึกษาอย่างหนักเกี่ยวกับสัญญาการกู้เงินก้อนใหญ่ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อมาทำการขยายโรงกลั่น หรือการเป็นหัวหน้าทีมกฎหมายในกรณีการซื้อบริษัทบับเบิลบีของบริษัท ยูนิคอร์ด ก็ต้องมานั่งค้นตำราศึกษาเรื่องปลากระป๋อง และยังมีอีกหลายงานที่ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องยากๆ และสร้างชื่อเสียงให้กับเขา จนเป็นที่ยอมรับในวงการว่าเป็นนักกฎหมายที่เก่งในเรื่องธุรกิจคนหนึ่ง

จนกระทั่งวันหนึ่ง ธนินท์ เจียรวนนท์ ซึ่งสมัยนั้นเพิ่งประมูลโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมายมาได้ ชวนเขามาทำงานที่บริษัทเทเลคอมฯ เพื่อช่วยดูในเรื่องสัญญา ดังนั้นจากคนที่ใช้โทรศัพท์เป็นอย่างเดียว แต่ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับระบบของโทรศัพท์เลยก็ต้องหาหนังสือต่างๆ มานั่งอ่าน บางคราวถึงกับเอาโทรศัพท์มานั่งแกะดูว่า มันเป็นอย่างไร ทำงานได้อย่างไร รวมทั้งค้นคว้าศึกษาในเรื่องกฎหมายโทรคมนาคมของประเทศต่างๆ จนกระทั่งปัจจุบัน เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องธุรกิจการสื่อสารและกฎหมายด้านโทรคมนาคม และเป็นบุคคลสำคัญในการเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ก้อนมหึมา 61,790 ล้านบาทให้กับทีเอ

"ผมรู้จักความคิดผ่านตัวหนังสือ การเป็นนักกฎหมายที่ดี จะต้องรู้เรื่องธุรกิจด้วย แล้วต้องรู้ให้จริง เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ตลอดเวลาผมจะปรับเอากฎหมายมาปนกับธุรกิจ เมื่อไรที่สัญญากับธุรกิจมาปนกันได้ เขาจะตามเราไม่ทัน ถ้าเราสามารถทำให้สัญญาครอบคลุมหมดแล้วทุกอย่าง บางอย่างเราปล่อยไปได้เลย เพราะเขาเถียงกับเราแทบตาย เขาไม่รู้หรอกว่าเขาได้สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ไป"

อธึกเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง ในยามเย็นวันหนึ่งที่บ้านของเขา ด้วยท่าทีสบายๆ และเริ่มเล่าเรื่อง เกี่ยวกับหนังสือที่เขารักและเก็บสะสมมานานอย่างมีความสุข

เมื่อทุกคดีต้องผ่านกระบวนการค้นคว้า หนังสือที่ต้องใช้เลยเพิ่มมากขึ้นๆ ทุกที จากเมื่อวัยหนุ่มเคยหลงใหลหนังสือกำลังภายใน และเก็บหนังสือประเภทนี้มาก่อนมากมายหลายเล่ม ต่อมา สมัยเรียนหนังสือเริ่มเก็บหนังสือกฎหมาย เมื่อมาอยู่ในโลกธุรกิจ เจอนายจ้างหลากหลายรูปแบบการซื้อหนังสือเพื่อหาความรู้ก็มากขึ้นอีก และจากนั้น เริ่มขยายวงกว้างไปตามเก็บหนังสือต่างๆ ที่หาอ่าน ได้ยาก หนังสือเก่าๆ ซึ่งบางครั้ง มีคนเอามาเสนอขาย รวมทั้งได้มาจากงานประมูลใหญ่ๆ เช่น ประมูลผ่านทางบริษัท Christies Thailand จำกัด ประมูลซื้อหนังสือจากต่างประเทศผ่านทางอินเทอร์เน็ต และสั่งซื้อหนังสือผ่านเว็บไซต์ของอเมซอน

นั่นคือที่มาซึ่งทำให้บ้านหลังนี้มีห้องเก็บหนังสือถึง 3 ห้องด้วยกัน ห้องแรก คือห้องที่ใช้เป็นห้องทำงานด้วย ในห้องนี้นอกจากโต๊ะทำงานตัวใหญ่แล้ว ตู้หนังสือรอบห้องยังอัดแน่นไปด้วยตำรากฎหมาย คำพิพากษาฎีกาคดีต่างๆ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และแฟ้มคดีสำคัญๆ ที่จบไปแล้ว และที่กำลังศึกษาอยู่

จากห้องทำงานมีทางเดินเล็กๆ ไปยังห้องเก็บหนังสืออีกห้องหนึ่งด้านใน ในห้องนี้นอกจากแฟ้มหนังสือพิมพ์เก่าๆ แล้ว ยังมีหนังสือหายากอีกมากมายวางอยู่เต็มชั้นเหล็กขนาดใหญ่ หนังสือพิมพ์เก่าที่ว่านั้นเก่าจริงๆ เช่น หนังสือพิมพ์สยามไมตรี สมัย ร.ศ.115 ในราคาเล่มละสลึง หรือหนังสือที่เกี่ยวกับตำราพิชัยสงคราม ซึ่งเขียนภาพและตัวหนังสือด้วยปากกาจคอแร้ง แสดงให้เห็นถึงการตั้งทัพในสมัยก่อน เป็นเล่มที่พิมพ์ขึ้นเมื่อ ค.ศ.1861

ห้องสุดท้ายเป็นห้องใหญ่ที่สุด รอบห้องจะเป็นตู้หนังสือเรียงรายสูงจากพื้นเกือบจรดเพดานทั้ง 3 ด้าน อีกด้านหนึ่งนั้นลดความแข็ง และสร้างบรรยากาศคลายเครียดด้วยการกรุด้วยกระจกใส มองออกไปเห็นสวนหย่อมเล็กๆ และนกแก้วมาร์คอร์คู่หนึ่งที่อธึกซื้อมาเลี้ยงไว้เอง ตั้งแต่ตัวเล็กๆ นกคู่นี้จ้องมองทีมข่าวอยู่ตลอดเวลาการพูดคุย สลับกับการส่งเสียงร้องดังๆ

ตู้ที่เก็บหนังสือในห้องนี้ ทำด้วยไม้ยมหอม โดยที่เขาบอกว่าบ้านเก่าเคยใช้ไม้ประเภทนี้ทำตู้ แล้วปรากฏว่าไม่เคยมีแมลงสาบเลย ก็เลยสั่งไม้ยมหอมมาจากประเทศมาเลเซีย เพราะเมืองไทยหาซื้อไม่ได้ มุมห้องด้านหนึ่งจะมีชุดรับแขกเล็กๆ วางอยู่ ในห้องนี้จะมีหนังสือเกือบทุกประเภท

หนังสือที่หายากมากๆ เช่น หนังสือวชิรญาณวิเศษ หนังสือเล่มแรกของ สอ เสถบุตร เป็นดิกชันนารี เขียนสมัยอยู่ในคุกที่ตะรุเตา ร่างประมวลกฎหมาย อาญา ร.ศ.127 ซึ่งสมัยนั้นทำเป็นภาษาอังกฤษก่อน แปลเป็นภาษาไทย เพราะสมัยก่อนฝรั่งเป็นคนร่างกฎหมาย เล่มนี้เก่ามากไม่มีที่มาที่ไป เข้าใจว่าสมัยนั้นพอร่างขึ้นมาเสร็จก็ทำเป็นภาษาอังกฤษแจกจ่ายพวกเจ้านายกันก่อน

"หนังสือที่หายากบางครั้ง ผมซื้อเป็นหีบๆ เลย คือคนที่เอามาขายเองก็ไม่มั่นใจว่าจะใช้ได้กี่เล่ม แล้วเราก็เอามาค้นมารื้อใหม่ บางเล่มจะมาทั้งเล่มเก่า และหนังสือที่เขาเอามาพิมพ์ใหม่ เวลาใช้ก็จะหยิบเล่มที่พิมพ์ใหม่มาดูไม่ต้องหยิบของเก่า"

อีกมุมหนึ่งของตู้จะเป็นหนังสือทางด้านโทรคมนาคม รวมทั้งกฎหมายทางด้านการสื่อสารต่างๆ ที่จำเป็นต้องเรียนรู้อย่างมากในปัจจุบัน

ส่วนหนังสือที่รักมาก และมีความสุขทุกครั้งยามเปิดดู คือ "The Bird of the World" เป็นหนังสือเกี่ยวกับคู่มือการดูนกทุกประเภทในโลก เล่มนี้สั่งซื้อมาจากประเทศสเปน มีภาพประกอบที่สวยงามมาก

"ผมเป็นคนชอบนก แต่ไม่มีเวลาเลี้ยง ก็เลยซื้อหนังสือมาเก็บไว้ เล่มนี้สั่งซื้อมาราคาค่อนข้างแพง 100 กว่าเหรียญยูโร บางครั้งเสียดายนะไม่กล้าเปิดดูที่บ้าน ผ่านไปที่ร้านทีไรต้องไปเปิดดู ทุกครั้ง" เขาเล่าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ พลางเปิดหนังสือในมือเบาๆ อย่างทะนุถนอม

กล้วยไม้เป็นหนังสืออีกประเภทหนึ่งที่เขาชอบซื้อสะสม เพราะเคยเลี้ยงกล้วยไม้ แต่ต้องเลิกไปเพราะเงื่อนไขของเวลา

หนังสือเก่าเล่มหนึ่งที่ได้มาและภูมิใจมากๆ คือ หนังสือเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมของไทย มี เรื่องและภาพของวัดต่างๆ ในเมืองไทย ตีพิมพ์เป็นภาษาเยอรมันมีทั้งหมด 3 เล่ม ราคาประมาณ 2 หมื่นบาท

"ตำนานนักเดินทาง" ของจิระนันท์ พิตรปรีชา "พลนิกร กิมหงวน" "แฮรี่พ็อตเตอร์" "ผู้ชนะสิบทิศ" "ขุนศึก" ของ ไม้เมืองเดิม หนังสือเกี่ยวกับประเทศต่างๆ ในย่านอินโดจีน พม่า ลาว เวียดนาม รวมไปถึงหนังสือตำรากับข้าวของถนัดศรี หมึกแดง และอื่นๆ อีกมากมาย มีครบหมดในห้องนี้ แต่ไม่สามารถระบุจำนวนได้ว่ากี่เล่ม เพราะไม่มีการบันทึกไว้ และไม่มีการจัดโดยระบบใดๆ ทั้งสิ้น แต่อธึกจะมีระบบความเคยชินและความจำของเขาเองเป็นหลักในการค้นหา

หนังสือหลายเล่มมีอิทธิพลต่อชีวิตของเขามากทีเดียว อย่างเช่นหนังสือชีวประวัติของลินคอร์น แปลโดย อาษา ขอจิตต์เมษ

"ตอนเด็กๆ ผมมีโรคประจำตัวคือ โรคหืด ทำให้เล่นกีฬากับเพื่อนฝูงไม่ได้ เหงาขึ้นมาก็หยิบหนังสือมาอ่านเป็นเพื่อน ตกกลางคืนนอนไม่ได้หายใจไม่ออก ก็ต้องนั่ง แล้วหยิบหนังสือมาอ่าน ใครๆ ก็ว่าเราเป็นเด็กขี้โรค ไม่แข็งแรง ทำอะไรไม่ได้ จนกระทั่งได้อ่านหนังสือชีวประวัติลินคอร์น อ่านแล้วติดมาก เป็นเรื่องที่เขียนถึงลินคอร์นว่า เป็นประธานาธิบดีที่ทำอะไรแล้วก็แพ้ เลือกตั้งก็แพ้ พูดก็ไม่เก่ง แล้วเขาก็ชนะหนเดียวคือ ตอนเป็นประธานาธิบดี ตอนนั้นก็อ่านแล้วคิดว่าบางคนทำอะไรแพ้มาตลอดชีวิต แล้วชนะ หนเดียวก็ประสบความสำเร็จ ประทับใจมาก ตอนหลังผมเลยต้องมีหนังสือลินคอร์นเต็มไปหมด เพราะทำให้เรามีกำลังใจว่า การที่เแพ้ตอนนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะแพ้ตลอดไป"

ส่วนเรื่องสามก๊กเป็นหนังสือที่ปัจจุบันเขาพยายามสะสมให้ครบหมดทุกเล่ม หนังสือเล่มนี้สร้างแรงบันดาลใจอย่างมากในช่วงวัยทำงาน

"ตอนเด็กๆ ที่เราอ่าน ก็มีความรู้สึกว่า เล่าปี่เป็นพระเอกนะเพราะมีคุณธรรมสูง ส่วนขงเบ้งฉลาดที่สุด แต่พอโตๆ ชักจะเปลี่ยนความคิดแล้ว โจโฉก็เก่ง พอหลังๆ มานี่ กวนอูก็เก่ง พออายุมากขึ้น เรามองโลกอีกแบบหนึ่งทุกตัวเป็นพระเอกหมด คือทุกตัวก็มีหน้าที่ของเขา ใครแพ้ชนะ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง"

นอกจากหนังสือพ็อกเกตบุ๊คแล้ว อธึกยังมีแมกกาซีนที่ต้องอ่านประจำ เช่นที่ออฟฟิศมี ผู้จัดการ การเงินการธนาคาร อีโคโนมิสต์ กลับมาบ้านจะอ่านสารคดี ศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งหนังสือต่วยตูน

หนังสือเป็นขุมทรัพย์ที่ค้นหาไม่หมด แม้ทุกวันนี้เขามีหนังสืออยู่แล้วมากมาย แต่ก็มีรายชื่อหนังสือที่อยากได้เพิ่มยาวเหยียด โดยจะพิมพ์ชื่อหนังสือพวกนั้นใส่คอมพิวเตอร์ไว้ พอว่างก็จะกดดูจากอินเทอร์เน็ตว่ามีหรือเปล่า

"คือโลภ อยากได้ตลอดเวลาเรื่องหนังสือนี่ มีหนังสือเล่มหนึ่งอธิบายคนที่มีอาการเหมือนผม เขาบอกว่าเป็นโรคจิต มีชื่อเฉพาะของมันเลย เป็นประเภทว่าถึงแม้ไม่อ่านก็ต้องซื้อมาให้ได้ก่อน แล้วก็จะมีความสุข หนังสือจะมีเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ลูกชายพยายามทำเว็บไซต์หนังสือเก่าให้เลย ไม่สำเร็จเสียที ส่วนลูกสาวคนกลาง เขาคิดมาก ไม่ได้ให้ทำรายชื่อหนังสือนะ แต่กลับบอกว่าให้เขียนไว้ด้วยว่าเล่มไหนราคาเท่าไร แหมจะบีบคอมันตาย"

อธึกเล่าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเช่นเคย ความสำเร็จในหน้าที่การงาน และชีวิตครอบครัว ทำให้เขาเป็นผู้บริหารคนหนึ่งของทีเอ ที่อารมณ์ดีอยู่เกือบตลอดเวลา ท่ามกลางภาระหน้าที่ที่ไม่ธรรมดาเลย



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.