บิ๊กSCเปิดใจลากลุ่มชินฯ ทิ้งทวนซื้อตึก "ไอเอฟซีที"


ผู้จัดการรายวัน(20 พฤษภาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

"สุรเธียร จักรธรานนท์" เปิดใจเปิดหมวกลาออกจากกลุ่มชินวัตร ต้องการตามหาฝันคือการเขียนหนังสือ-วิจัยพลังงานทดแทน พร้อมชี้แจงกรณีข่าวไปนั่งเป็นผู้บริหารที่บริษัทศรีสยามฯ เป็นเพียงกรรมการที่ปรึกษาไม่มีอำนาจลงนาม ระบุงานต่อไปจะรับเป็นที่ปรึกษาไม่นั่งทำงานถาวร

วานนี้ (19 พ.ค.) นายสุรเธียร จักรธรานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ผู้บริหารที่บริหารพอร์ตอสังหาริมทรัพย์มูลค่าหลายหมื่นล้านบาทของครอบครัวชินวัตร ได้เปิดแถลงข่าวชี้แจงกรณีลาออกจากการเป็นผู้บริหารของบริษัท โดยนายสุรเธียร ได้ให้เหตุผลว่า ตนได้ทำงานในวงการอสังหาฯ มาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน สมควรที่ต้องวางมือ อีกทั้งยังต้องการออกไปทำงานที่ตัวเองฝันไว้ คืองานเขียนหนังสือ และวิจัยเรื่องของพลังงานที่ตนได้เข้า ไปทำการศึกษามาประมาณ 2 ปีแล้ว ซึ่งงานเหล่านี้ต้องใช้เวลางานการทำงานมาก และไม่ต้องนึกถึงรายได้ทำเพราะใจรักจริงๆ

การลาออกของนายสุรเธียรนั้น เป็นการลาออกจากทุกตำแหน่งที่เกี่ยวข้องในบริษัทกลุ่มชินวัตร เพื่อไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งหรือคำครหาในภายหลัง หากต้องการทำงานกับบริษัทใหม่หรือแม้แต่จะเป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มชินวัตรเองก็ตาม ทั้งนี้การลาออกดังกล่าวไม่มีเรื่องวาระซ่อนเร้นแต่อย่างใด โดยการลาออกจะมีผลในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ ซึ่งเป็นเวลากว่า 10 ปี ที่ทำงานให้กับครอบครัวชินวัตร โดยเริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2538

ส่วนความคิดที่ต้องการลาออกนั้นมีมานานแล้ว แต่ได้ถูกทัดทานเอาไว้ ซึ่งครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2544 กรณีเกิดคดีซุกหุ้นของนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องทำให้เอสซีเดินต่อให้ได้ และได้ทำจนเอสซีเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ สำเร็จ และล่าสุดได้ยื่นลาออกเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2547 และได้เจรจามายาวนานจนเมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา ได้มีการประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งในที่ประชุมได้มีมติมอบหุ้น "อีสป" แก่พนักงาน ซึ่งตนได้รับ 2.5 ล้านหุ้น แต่ไม่สามารถชี้แจงต่อที่ประชุมได้ว่าไม่สามารถรับได้ เพราะหากแจ้งความจำนงไม่รับจะทำให้เกิดความวุ่นวายและต้องชี้แจงต่อที่ประชุมจึงต้องปล่อยไปตามกระบวนการ ซึ่งภายหลังจากนี้จะต้องคืนหุ้นส่วนนี้คืนให้กับบริษัท แต่หากรับไว้จะต้องรอให้มีการ "เอ็กเซอร์ไซส์" ในตลาดก่อนจึงจะสามารถลาออกได้

"การลาออกไม่ได้เกิดจากข้อขัดแย้งแต่อย่างใด ความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกันในการดำเนินงานถือเป็นเรื่องปกติ ถ้ามองว่าตรงนี้เป็นเรื่องความขัดแย้งก็ใช่ แต่มองว่าเป็นการมองธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน การทำงานทุกที่ต้องมีปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะผมซึ่งมีความคิดที่ไม่เหมือนชาวบ้าน ต้องการทำอะไรที่แปลกใหม่" นายสุรเธียรกล่าว

สำหรับการทำงานต่อจากนี้ไปนั้น นายสุรเธียรกล่าวว่า ต่อไปจะไม่เข้าไปนั่งทำงานให้กับบริษัทอสังหาฯ อีกต่อไป แต่จะเป็นที่ปรึกษาให้เท่านั้น โดยภายหลังจากออกต้องการพักสักระยะหรือประมาณ 1 เดือน จึงจะตัดสินใจว่าจะเข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กับใคร ซึ่งมีหลายบริษัทที่ติดต่อเข้ามาโดยเป็นโครงการขนาดใหญ่ ส่วนการเขียนหนังสือนั้นก็จะเขียนต่อไป โดยได้เขียนมาแล้ว 2 เล่ม คือ "นาทีเปลี่ยนประวัติศาสตร์", "สหายต่างวัย" และล่าสุดอยู่ระหว่างการเขียนเล่มที่ 3

ส่วนงานอีกอย่างที่ต้องการทำคือ การเข้าไปศึกษาและวิจัยด้านพลังงานทดแทน ซึ่งเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ได้เข้าไปช่วยที่อาศรมพลังงาน ของกลุ่มเอ็นจีโอ โดยได้มอบที่ดินจำนวน 10 ไร่ ที่จังหวัดนครราชสีมาให้เป็นที่ค้นคว้า โดยได้มองกลุ่มธุรกิจนี้ว่ามีหลายตัวที่สามารถนำมาใช้ได้กับเมืองไทย

สำหรับกระแสข่าวเข้าไปเป็นผู้บริหารในบริษัท ศรีสยาม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตกระดาษนั้น นายสุรเธียรได้ชี้แจงว่าไม่ได้เข้าไปบริหารในบริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด เพียงเข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้ และนั่งเป็นกรรมการที่ไม่มีอำนาจลงนาม เมื่อหลายปีก่อนเท่านั้น เนื่องจากเป็นเพื่อนกับผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวอีกทั้งยังเคยร่วมงานกันที่เอสซี แอสเซท มาก่อน และในช่วงที่บริษัทเข้าตลาดก็ได้ซื้อหุ้นไว้นิดหน่อยเท่านั้น

"ภายหลังจากลาออกแล้วจะไม่เข้าไปเล่นการเมืองอย่างเด็ดขาด เพราะไม่ชอบการเมืองแบบนี้ คือการเมืองในอุดมคติของผมต้องทำเพื่อสังคม แต่ทุกวันนี้มีแต่แย่งอำนาจ และแสวงหาผลประโยชน์โดยนิสัยผมไม่ชอบการรบรากับใคร แต่ถ้าไม่รบกับเค้าๆ ก็รบกับเรา ถ้าจะเล่นการเมืองผมเล่นตั้งแต่ 24 ปีที่แล้ว ตอนนี้ผมรู้จักนักการเมืองกว่าครึ่ง" นายสุรเธียรกล่าว

นายสุรเธียรกล่าว สำหรับภารกิจสุดท้ายที่ทำงานให้กับครอบครัว "ชินวัตร" ก็คือการเจรจาซื้อตึกอาคารที่ทำการหลังเก่าของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม (ไอเอฟซีที) ถนนเพชรบุรี ซึ่งขณะนี้อยู่หว่างการรอเซ็นสัญญากับธนาคารทหารไทย คาดว่าน่าจะเซ็นได้ก่อนที่ครบกำหนดลาออก

สำหรับผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนนั้น ได้จัดตั้งคณะกรรมการสรรหา โดยมีนายชัยวัตร วิบูลย์สวัสดิ์ ประธานกรรมการ และมีนางบุษบา ดามาพงศ์ ประธานบริหาร และคณะกรรมการอีก 3 คนเป็นผู้สรรหา

ในส่วนของการดำเนินงานของบริษัท เอสซี แอสเสทฯ นับจากนี้นั้น นายสุรเธียรกล่าวว่า ได้วางแผนการดำเนินงานไว้ล่วงหน้าไปแล้วกว่า 3 ปี ซึ่ง ได้วางแผนงานทุกอย่างเป็นขั้นตอน ส่วนผู้บริหารคนใหม่จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่นั้นก็สุดแล้วแต่ อย่างไรก็ดี ได้วางรากฐานรายได้ของบริษัทบนพื้นฐานที่ป้องกันความเสี่ยงไว้แล้ว คือมีรายได้จากค่าเช่าถึง 40-50% และผลการดำเนินงานล่าสุดไตรมาส 1/48 บริษัทมีอัตราการเติบโต 55% โดยมีรายได้ 393 ล้าน บาท กำไร 99 ล้านบาท ซึ่งถือผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.