เช่นเดียวกับหลายๆ คนที่ณรงค์ บุณยสงวน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากปิโตรเลียม
มีโอกาสหยุดพักผ่อน เพื่อเติมพลังในการต่อสู้กับภารกิจอันหนักหน่วงต่อไปในเทศกาลมหาสงกรานต์
ขณะที่หลายๆ คนมีโอกาสหยุดต่อยาวจนถึงวันที่ 17 เมษายน แต่บ่ายวันนั้นณรงค์ได้รับแจ้งจากทำเนียบรัฐบาลว่า
ให้เตรียมตัวเข้ารายงานสถานการณ์บางจากต่อนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ซึ่ง ณ เวลานั้น ณรงค์ยังไม่มีรายละเอียดใหม่เลย แต่เขาไม่ได้ลำบากใจ เพราะสามารถนำข้อมูลที่มีอยู่แล้วไปนำเสนอ
เช้าวันถัดมา ณรงค์เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลด้วยความมั่นใจ โดยเฉพาะโอกาสที่จะเห็นบางจากดำเนินกิจการต่อไป
แต่ก่อนที่จะถึงเวลาอันสำคัญยิ่งต่ออนาคตของบางจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้บอกให้โทรศัพท์ไปตาม
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ไม่มีตำแหน่งอะไรในบางจาก แต่มาในฐานะ "คนรักบางจาก"
เข้ามาร่วมปรึกษาด้วย
การที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญต่อ พล.ต.จำลอง เนื่องเพราะในปีที่บางจากได้จัดตั้งขึ้นในช่วงปี
2528 พล.ต.จำลอง ดำรงตำแหน่งเลขานุการ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
จึงได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลที่เข้าใจบางจากอย่างลึกซึ้ง นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันจึงคิดว่าจำเป็นที่จะต้องคุยกับฝ่ายคนรักบางจากด้วย
บรรยากาศภายในห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเองอย่างมาก
โดยข้อมูลที่ณรงค์นำเสนอในวันนั้น บทสรุปอยู่ที่การมองไปในวันข้างหน้าว่า
บางจากจะดำเนินการอย่างไรเพื่อความอยู่รอด ซึ่งรายงานเล่มนี้เป็นเพียงขั้นตอนแรกตามที่ที่ปรึกษาปรับโครงสร้าง
McKinsey & Company ศึกษาไว้ โดยกรอบการพิจารณาอยู่ที่บางจากควร "ดำเนินการหรือปิดกิจการ"
ในที่สุดที่ปรึกษาได้เลือกข้อแรก แต่มีข้อแม้ว่าบริษัทต้องทำการเพิ่มทุนปรับโครงสร้างทาง
การเงินให้เร็วที่สุด
ข้อมูลและตัวเลขที่กรรมการ ผู้จัดการใหญ่บางจากนำเสนอ ดูเหมือนว่านายกรัฐมนตรีมีความเข้าใจต่อสถานการณ์
โดยเฉพาะการตัดสินใจไม่นำเงินจำนวน 300-400 ล้านเหรียญสหรัฐไปลงทุนในการกลั่นน้ำมันแบบ
Craking หากทำเช่นนั้น วันนี้จะไม่มีชื่อบางจากอีกต่อไป
"บางจากสู้ได้ทุกสถานการณ์ จะเอารูปแบบไหนมาสู้ก็สู้ได้" ณรงค์บอกกับนายกฯ
"โรงกลั่นในไทยทุกแห่งขาดทุนทั้งหมด" นายกรัฐมนตรีชี้
"แต่บางจากขาดทุนน้อยที่สุด" ณรงค์กล่าว
"แล้ว scale เป็นอย่างไร" นายกรัฐมนตรีถาม
ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงกลั่น 5 แห่ง โดยบางจากมีกำลังการผลิตทั้งสิ้น 1.2
แสนบาร์เรลต่อวัน ที่เหลือเฉลี่ยมีกำลังการกลั่น 1.5 แสนบาร์เรลต่อวันต่อโรงกลั่น
รวมแล้วทุกวันนี้ภายในประเทศมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ขณะที่ใช้กันอยู่ระดับประมาณ 6.3 แสน บาร์เรลต่อวัน
ข้อมูลพื้นฐานที่ณรงค์รวบรวมแล้วนำมาอธิบายให้นายกรัฐมนตรีและพล.ต.จำลองฟังนั้น
ถ้าหากจะดูเฉพาะรายละเอียดของบางจากแห่งเดียวอาจจะไม่ยุติธรรม ดังนั้นการเปรียบเทียบกับคู่แข่งจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เพื่อชี้ให้เห็นถึงสภาวะธุรกิจโรงกลั่นโดยรวม หากพิจารณากันแล้วโรงกลั่นอื่นๆ
ขาดทุนมากกว่าบางจากประมาณ 2 เท่า นับตั้งแต่เริ่มดำเนินกิจการ และในปีสุดท้ายแห่งยุคเจริญรุ่งเรือง
บางจากมีกำไรสูงสุด
"หากสถานการณ์เป็นอย่างนี้บางจากสามารถแข่งขันกับรายอื่นได้" นายกรัฐมนตรีให้ความเห็น
ความเข้าใจในความง่อนแง่นของบางจากที่นายกรัฐมนตรีแสดงออกคือ ยกย่องการทำงานของพนักงานโรงกลั่นแห่งนี้
"เก่งนะที่อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้และสามารถแข่งกับโรงกลั่นอื่นๆ ได้"
สิ่งที่ผู้นำรัฐบาลปัจจุบันมั่นใจในอนาคตของบางจาก เพราะมองเห็นความแข็งแกร่งทางการเงินแม้จะมีภาระหนี้สินอยู่
23,994.43 ล้านบาท แต่ยังไม่มีปัญหาเรื่องการชำระดอกเบี้ยต่อปี ซึ่งสูงถึง
1,300 ล้านบาท แต่ด้วยความหวังในการเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นจะส่งผลให้ภาระหนี้ลดลง
แม้ว่าการเข้าพบนายกรัฐมนตรีครั้งนี้จะเป็นการรายงานสถานการณ์บริษัทธรรมดาๆ
แต่ในฐานะที่บางจากเป็นรัฐวิสาหกิจที่ฝ่ายรัฐบาลถือหุ้นข้างมาก ความกังวลในฐานะผู้นำรัฐบาลจึงมีค่อนข้างมากในธุรกิจน้ำมันแห่งนี้
แต่โดยลึกๆ แล้ว บางจากต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน จากฝ่ายรัฐบาล
กรณีการค้ำประกันออกหุ้นกู้ 6,000 ล้าน บาท ซึ่งปีที่ผ่านมารัฐบาลช่วยเหลือแล้ว
3,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หลังออกจากห้องนายกรัฐมนตรีในวันที่ 18 เมษายน ฝ่าย พล.ต.จำลองออกมาอธิบายถึงประเด็นการพูดคุย
โดยปฏิเสธว่าไม่ได้มาขอเงินจากรัฐบาล "ผมมาขอความเป็นธรรมเท่านั้นเอง ว่าทำไมรัฐบาลสามารถใส่เงินเข้าไปในโรงกลั่นแห่งอื่นในรูปแบบต่างๆ
กัน แต่กับบางจาก ทำไมไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ความสามารถในการแข่งขันแทบไม่มีเลย"
เช่นเดียวกับณรงค์ที่เชื่อมั่นถึงการเข้ามาโอบอุ้มจากฝ่ายรัฐบาล แต่ปัญหาอยู่ที่จะหาเม็ดเงินมาจากไหนกรณีบางจากเพิ่มทุน
ที่สำคัญงบประมาณปี 2545 ได้ผ่านไปแล้ว ดังนั้น เร็วที่สุดที่ดำเนินการได้ต้องรอปีงบประมาณ
2546 ฉะนั้นปีนี้กระบวนการหาเงินจะเป็นอะไรที่ไม่ใช่ช่องทางการเพิ่มทุนแน่นอน
หรือข้อจำกัดจากกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สามารถค้ำประกันเงินกู้ได้เพียง
6 เท่าของส่วนผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่เบ็ดเสร็จ
นับตั้งแต่บางจากเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2528 เป็น ต้นมา ได้เติบโตขั้นเรื่อยๆ
มีกำไรตั้งแต่ระดับร้อยล้านบาทจนถึงพันล้านบาท ขณะที่รัฐบาลให้เงินมาเพียง
2,350 ล้านบาท ตั้งแต่เริ่มต้นถึงสิ้นปี 2539 บริษัทคืนเงินให้กับรัฐบาลในรูปปันผล
4,116 ล้านบาท ภาษีเงินได้ 3,057 ล้านบาท
จุดเปลี่ยนแห่งความหายนะของบางจากเริ่มต้นใน ปี 2540 พร้อมๆ กับวิกฤติเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ลางร้ายได้จุดประกายขึ้นเมื่อรัฐบาลในช่วงปี 2534 มีนโยบายเปิดเสรีโรงกลั่นจากความสดใสทางด้านสภาวะเศรษฐกิจ
ในขณะนั้น
เหตุการณ์อาจจะไม่รุนแรงหากรัฐบาลอนุญาตให้สร้างโรงกลั่นเพียงแห่งเดียว
แต่สุดท้ายกลับให้มีถึง 2 แห่ง เมื่อการตัดสินออกมาในรูปดังกล่าว ผู้คร่ำหวอดในวงการน้ำมันรู้เลยว่า
ลางร้ายกำลังเข้ามาเยือน แต่ด้วยความหวังว่า เศรษฐกิจจะดีตลอดไปการมองโลกในแง่ร้ายจึงถูกขจัดออกไปจากความรู้สึกทันที
แต่วิกฤติเกิดขึ้นในปี 2540 ก็ได้ตอบคำถามทุกอย่างชัดเจน
เนื่องด้วยบางจากมีเงินกู้ในรูปสกุลเงินต่างประเทศ และไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
แต่ใช้ผลประกอบการไปกู้มาอย่างเดียว แม้ว่าในปี 2540 จะมีกำไรเกิดขึ้นประมาณ
1,200 ล้านบาท แต่บริษัทโดนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 6,000 ล้านบาท เป็นผลกระทบโดยตรง
ไม่ใช่ทางบัญชี ทำให้สภาพคล่องหายไปทันที และไม่สามารถหาเงินในรูปดอลลาร์เข้ามาต่อชีวิตได้
ถ้าหากรัฐบาลไม่เข้ามาค้ำประกันเงินกู้จากการเรียกร้องของฝ่ายสถาบันการเงิน
บางจากไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรที่จะให้รัฐบาลมาช่วยเหลือด้านการค้ำประกันเงินกู้
ดังนั้นเมื่อถึงเวลาต้องนำเงินสดไปซื้อดอลลาร์เพื่อนำไปคืนเงินกู้ และที่สำคัญไปกว่านั้น
ฝ่ายรัฐบาลไม่รู้ว่าจะเข้ามาจัดการกับปัญหานี้ด้วยวิธีการอย่างไร เนื่องจากยังตั้งตัวไม่ติดกับวิกฤติ
ขณะที่โรงกลั่นอย่างน้อย 2 แห่งประกาศพักชำระ หนี้ แต่ในฐานะรัฐวิสาหกิจอย่างบางจากไม่สามารถใช้วิธีเดียวกันนี้ได้
ส่งผลให้ปี 2540 บางจากขาดทุนสุทธิ 3,785 ล้านบาทเป็นครั้งแรกนับแต่จัดตั้งบริษัท
และนับตั้งแต่ปี 2539 ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเรื่อยๆ จากผลขาดทุน พอถึงปี
2542 โรงกลั่นแห่งอื่นๆ เริ่มเพิ่มทุนให้กับตนเอง โดยมีรัฐบาลสมัยนั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง
ขณะที่บางจากนับตั้งแต่ตั้งรัฐบาลยังไม่ได้ใส่เงินเข้ามา
นับตั้งแต่ณรงค์เข้ามารับผิดชอบบางจากตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนปีที่ผ่านมา
ได้รู้ถึงสภาพบริษัทว่าย่ำแย่ขนาดที่ไม่สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาวิธีสร้างความแข็งแกร่ง
และการเข้าพบและเสนอความเป็นไปได้ต่อนายกรัฐมนตรีไม่ใช่โอกาสเดียวที่เขาทำ
ในฐานะผู้มีดีกรีปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคลุกคลีกับสายงานปฏิบัติในเอสโซ่
แสตนดาร์ด (ประเทศไทย) มาโดยตลอดจนกระทั่งได้รับตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดฝ่ายปฏิบัติการด้านการตลาด
จากนั้นได้เข้ามาทำงานร่วมกับบางจากตั้งแต่ปี 2539 จากคำชวนของโสภณ สุภาพงษ์
ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ ขณะนั้นในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายกิจการโรงกลั่น
และถูกโยกมาดูแลงานการตลาด ทำให้เป็นบุคคลหนึ่งที่เข้าใจดีกับธุรกิจโรงกลั่น
โดยเฉพาะสถานการณ์บางจากยุคปัจจุบัน
ด้วยกำลังการกลั่นภายในประเทศ มากกว่าความต้องการทำให้โรงกลั่นใช้กำลังการผลิตไม่เต็มที่
ภารกิจแรกที่ณรงค์ในฐานะแม่ทัพของบางจาก คือ เดินไปหาโรงกลั่นแห่งอื่นเพื่อจ้างกลั่นน้ำมันเตาที่บริษัทผลิตได้
30% ของกำลังการผลิตรวม ซึ่งจะได้น้ำมันใสออกมาแล้วแบ่งกันฝ่ายละครึ่ง ทุกวันนี้บางจากใช้บริการโรงกลั่นไทยออยล์
และเอสโซ่
"การทำงานแบบนี้จะมีไปอีกหลายปี" ณรงค์กล่าว การทำเช่นนี้ได้เพราะน้ำมันเตามีราคาต่ำกว่าน้ำมันดิบประมาณ
2-3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ผลลัพธ์ที่ได้คือ น้ำมันใสซึ่งมีราคาประมาณ 24
เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล "ไม่มีใครอยากซื้อน้ำมันดิบ ทุกวันนี้เราไม่มีน้ำมันเตาป้อนโรงกลั่นอื่นๆ
ได้เพียงพอ"
การดำเนินการในรูปแบบดังกล่าว ไม่สามารถทำให้บางจากดีขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
เนื่องจากสภาวะธุรกิจน้ำมันโลกตกรูดลง มาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2541
เป็นต้นมา โดยเฉพาะแถบเอเชียแปซิฟิก ที่มีกำลังการผลิตล้นเกินวันละ 2 ล้านบาร์เรล
ทำให้บางจากขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง
"นอกเหนือไปจากความตกต่ำของอุตสาหกรรมน้ำมัน ยังเจอกับเหตุการณ์วันที่
11 กันยายนที่สหรัฐอเมริกา และอีก 4 เดือนถัดมาเราต้องซื้อน้ำมันดิบราคาแพงแล้วขายน้ำมันสำเร็จรูปถูกตลอด"
ณรงค์เล่า
จากเหตุการณ์ดังกล่าวบางจากสูญเสียเงินไปราว 1,565 ล้านบาท และปี 2544
ขาดทุนทั้งสิ้น 2,995 ล้านบาท แม้ว่าจะขายน้ำมันผ่านสถานีจำหน่ายตามริมถนนกว่า
600 แห่ง และผ่านสถานีสหกรณ์อีกประมาณ 500 แห่งก็ตาม
สิ่งที่ณรงค์ต้องการมากที่สุด คือ การปรับปรุงโครงสร้างทางการเงิน ซึ่งเป็นที่มาของการว่าจ้าง
McKinsey เข้ามาหาความชัดเจนทางด้านการเงินและผลที่ออกมาบางจากต้องเพิ่มทุน
ขณะเดียวกันต้องหารายได้เพิ่ม ลดค่าใช้จ่าย หากจะอยู่ในธุรกิจนี้ต่อไป และหากทำสำเร็จอาจจะมีพันธมิตรสนใจร่วมทำงานด้วย
"หน้าตาบางจากในวันนี้ไม่มีใครอยากเป็นพาร์ตเนอร์ ด้วย จะต้องทำกำไรขึ้นและให้ภาพของรัฐบาลเข้ามาสนับสนุนชัดเจนก่อน"
เป็นความเห็นของฝ่าย McKinsey
นอกเหนือจากนี้บางจากต้องดำเนินการแปลงหนี้เป็นทุน โดยณรงค์ได้เสนอต่อคณะกรรมการบริษัทเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
โดยมีสมใจนึก เองตระกูล ปลัดกระทรวงการคลังในฐานะกรรมการของบางจากนั่งประชุมอยู่ด้วย
และจากข้อเสนอของฝ่ายบางจากเพียงพอที่จะทำให้สมใจนึกมองในแง่ดีต่อกิจการโรงกลั่น
เพียงแต่มีความสงสัยว่าจะทำอย่างไรในการดูแลด้านการเงิน
"ถ้าบางจากไปเจรจาหนี้กับใครผมจะไปด้วย" ปลัดกระทรวงการคลังกล่าว นั่นหมายความว่าฝ่ายรัฐบาลมีจุดยืนชัดเจนสำหรับอนาคตของบางจาก
มีคำถามเกิดขึ้นว่า ทำไมบางจากไม่สามารถเพิ่มทุนได้ นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้นและเห็นผลชัดเจน
บางจากมีความพยายามที่จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ด้วยการขายหุ้นในส่วนที่เป็นหน่วยงานรัฐบาลออกไป
ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่จะได้พันธมิตรทางธุรกิจใหม่ แต่จากความขัดแย้งเชิงความคิดระหว่างฝ่ายบางจากที่ต้องการขายหุ้นให้กับคนไทยทั้งหมด
ส่วนรัฐบาลอยากเปิดโอกาสขายหุ้นให้กับนักลงทุนต่างชาติด้วย
ท่ามกลางสถานการณ์ที่หนักหน่วงรุนแรงส่งผลให้บางจากได้รับผลกระทบระดับเดียวกัน
และในที่สุดไม่สามารถดำเนินการได้จากสภาพตลาดที่ซบเซา และราคาหุ้นบางจากทรุดลงอย่างต่อเนื่อง
นับจากนั้นเป็นต้นมาบางจากอยู่ในหลุมอากาศมาโดยตลอด เนื่องเพราะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ในทุกๆ
กรณี ประกอบกับกลไกตลาดอุตสาหกรรมน้ำมันโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
แม้ว่ากระทรวงการคลังจะค้ำประกันเงิน ที่บริษัทออกหุ้นกู้แบบเฉพาะเจาะจงจำนวน
3,000 ล้านบาท เมื่อปลายปี 2544 ก็ตาม "กว่าฝ่ายรัฐบาลจะเข้ามาวันเวลาได้ผ่านไปนานแล้ว"
ณรงค์ชี้
ปัจจุบันปัญหาเร่งด่วนที่บริษัทต้องการ คือ เงินจำนวน 2,660 ล้านบาท ที่ต้องนำไปชำระหนี้ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
รัฐบาลยังอยู่ในช่วงการพิจารณาทางออกอันเหมาะสม ซึ่งบางจากจะต้องได้มาด้วยการค้ำประกันเงินกู้หรือการเพิ่มทุน
แม้ว่าณรงค์จะนำเรื่องนี้เข้าหารือกับวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
ผู้รับผิดชอบบางจากโดยตรงเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา
แต่วราเทพได้เสนอแนะช่องทางอื่น นั่นคือ การค้ำประกันจากรัฐบาล หรือ bid
finance เป็นช่องทางการหาเม็ดเงินมาให้รัฐวิสาหกิจในอัตราดอกเบี้ยต่ำคล้ายกับวงเงิน
O/D ที่รัฐวิสาหกิจสามารถกู้โดยตรงจากกระทรวงการคลังมาใช้ก่อนที่จะได้เงินกู้เข้ามา
"ถ้าไม่พูดถึงการเพิ่มทุน ก็ต้องพิจารณาการค้ำประกันเงินกู้ ซึ่งเราจะต้องแบกภาระอัตราดอกเบี้ยสูงๆ"
ณรงค์ ชี้ "หากเป็นเช่นนี้บริษัทไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้แล้วเมื่อไรผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผล"
นับตั้งแต่ณรงค์เข้ารับภาระสำคัญยิ่งในชีวิตการทำงาน ได้พยายามจะไม่ใช้วิธีเดิมในการขจัดอุปสรรค
แต่จะใช้วิธีจากผลการศึกษาของ McKinsey ที่มองถึง business solution เพื่อให้ธุรกิจแข็งแรงในเวลาอันรวดเร็ว
โดยเงื่อนไข ก็คือ บางจากต้องมีกำไรภายในปีหน้า ผลลัพธ์ถ้าหากบริษัท ไม่เพิ่มทุนที่ปรึกษารายนี้เชื่อว่าจะเห็นตัวเลขกำไร
ปีละ 2,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบางจากมีความเป็นไปได้ที่จะอยู่รอด แต่อย่าลืมประเด็นที่
บมจ.ปตท. ออกมาพูดถึงการขายหุ้นบางจากออกไปซึ่งจะนำไปสู่การปิดกิจการ และยังมีเหตุผลอื่น
อาทิ โรงกลั่นตั้งอยู่ในเขตชุมชนเมือง ซึ่งล้วนแล้วแต่ฟังขึ้น ขณะที่ณรงค์กลับมองว่าการปิดกิจการ
สิ่งสำคัญต้องดูตัวบริษัทเองว่าสามารถแข่งขันต่อไปได้หรือไม่
"ผมเรียนกับนายกฯ ว่า หากพบว่าไม่สามารถแข่งขัน ได้ ท่านนายกฯ ไม่ต้องสั่งการ
ผมจะปิดกิจการด้วยตัวเอง"
ด้วยสถานการณ์อุตสาหกรรมน้ำมันโลกประกอบกับปัญหาภายในบางจาก และการตัดสินใจของฝ่ายรัฐบาลเป็นเรื่องราวที่ไม่มีใครคาดเดาถึงอนาคตที่แท้จริงได้
มีสิ่งหนึ่งที่ณรงค์และพนักงานรับรู้มาโดยตลอด นั่นคือ วันนี้ไม่มีใครอยากแบกรับภาระอันหนักนี้