เซ็นทรัล กรุ๊ป ปรับโครงสร้างสายธุรกิจค้าส่ง รวมการบริหารงานให้อยู่ภายใต้
ซีเอ็มจี หรือ "เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป"หวังก้าวสู่การเป็นบริษัทอินเตอร์ที่บริหารงานแบบมืออาชีพ
พร้อมแต่งตั้ง "พิชัย
จิราธิวัฒน์"ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ แทน"สุทธิศักดิ์ จิราธิวัฒน"โดยวางเป้าหมายสู่ความเป็นเลิศในสินค้าแฟชั่น
นายพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป
เปิดเผยว่า
หลังจากที่เซ็นทรัล กรุ๊ป ได้ปรับโครงสร้างของกลุ่มครั้งใหญ่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
โดยได้มีการแถลงถึงนโยบายและ ทิศทางของกลุ่มเซ็นทรัลรีเทล ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้สูงสุด
ให้แก่กลุ่มเซ็นทรัลไปแล้วนั้น ในส่วนของสายธุรกิจการค้าส่งซึ่งเป็น 1 ใน
5 ธุรกิจหลักของเซ็นทรัล กรุ๊ป ก็ได้ปรับโครงสร้างเพื่อการบริหารงานที่ชัดเจนและเพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทมืออาชีพมากขึ้น
หลังจากที่ได้บริหารงานแบบครอบครัวมาเป็น เวลานาน ทั้งนี้ ได้มีการแต่งตั้งให้นายพิชัย
จิราธิวัฒน์ ที่ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัทเซ็นทรัลเทรดดิ้ง จำกัด
ให้ขึ้นมาดำรงตำ-
แหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป หรือซีเอ็มจี แทนนายสุทธิศักดิ์
จิราธิวัฒน์ ที่ขึ้นไปเป็นคณะกรรมการของเซ็นทรัล กรุ๊ป เมื่อเดือนกุมภาพันธ์
2545 เป็นต้นมา
นอกจากนี้ยังได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานภาย ในองค์กรใหม่ ด้วยการรวมกิจการ
ของกลุ่มที่มีการทำงานซ้ำซ้อนให้เข้ามาอยู่ภายในการบริหารงานเดียวกัน นายพิชัย
กล่าวว่า ซีเอ็มจี
ได้เริ่มปรับโครงสร้างการบริหารงานอย่างจริงจังเมื่อต้นปีนี้ โดยวางเป้าหมายให้ซีเอ็มจี
เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านการผลิต การค้าส่ง และการตลาด ที่ประกอบด้วย
4 บริษัท หลัก คือ บริษัทเซ็นทรัล
การ์เมนท์แฟคตอรี่ จำกัด บริษัท ซีเทรคสากล จำกัด บริษัท เอส เค การ์เม้นท์
(1995) จำกัด และบริษัทเซ็นทรัล เทรดดิ้ง จำกัด ปัจจุบัน ซีเอ็มจี ได้แบ่งประเภทธุรกิจออกเป็น
2 กลุ่มได้แก่ กลุ่มโรงงาน
ทำหน้าที่ผลิตสินค้าภายใต้ลิขสิทธิ์ของต่างประเทศ และผลิตสินค้าของตนเอง
และกลุ่มค้าส่งและการตลาด ทำหน้าที่จัดจำหน่ายสินค้าทั้งนำเข้าและผลิตเอง
โดยจัดแบ่งสินค้าออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่
1.กลุ่มสินค้าเสื้อผ้า ที่มีอยู่ประมาณ 20 แบรนด์ อาทิ G2000 ,U2 ,Lee เป็นต้น
2. กลุ่มเครื่องสำอาง มี 9 แบรนด์ อาทิ กุชชี่ นิโคล อีฟแซงค์ ลอรัง เป็นต้น
3.กลุ่มนาฬิกา อาทิ คาสิโอ เกสส์
4.กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า และ 5. กลุ่มเบ็ดเตล็ด โดยกลุ่มเสื้อ ผ้านับเป็นสินค้าที่มียอดขายมากที่สุดในสัดส่วนถึง
60% นอกจากนี้นายพิชัย ยังได้กล่าวถึงเป้าหมายของซีเอ็มจี ในอนาคตว่า
จะมีการจัดทำแผนงานระยะ 5 ปี เพื่อนำพาธุรกิจให้ก้าวสู่ความเป็นเลิศด้านตลาด
สินค้าทันสมัย ด้วยการมีแบรนด์ที่เข้มแข็งและตรงกับความต้องการของลูกค้า
รวมทั้งมีการบริการจัดการที่มีประสิทธิภาพด้วย การปรับโครงสร้างองค์ กรในครั้งนี้
ได้รวมงานที่ใกล้เคียงกันให้มารวมอยู่ด้วยกัน เช่น งานพัฒนาทรัพยากรบุคคล
การเงินการ บัญชี คลังสินค้าและขนส่ง
ด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ และในอนาคตอันใกล้นี้จะรวมด้านโรงงานเข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการผลิต
ซึ่งผลการศึกษาพบว่าหากรวมโรงงานเข้าด้วยกันได้
จะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตที่เหลือพอที่จะขยายตลาดได้อีกมาก โดยเฉพาะการทำตลาดในต่างประเทศที่บริษัทมีแผนจะรุกตลาดภายใน
1-2 ปีข้างหน้านี้
ในขณะที่การรวมการบริหารบางส่วนเข้าด้วยกันยังช่วยลดค่าใช้จ่ายององค์กรลงได้ด้วย
นายพิชัย กล่าวอีกว่า ผลดีที่เห็นได้อย่างชัดเจนหลังจากรวมการบริหารงานมาอยู่ภายใต้ซีเอ็มจี
ก็คือ
ช่วยสร้างรายได้ให้เติบโตมากกว่าเดิม โดยเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของกลุ่มธุรกิจการค้าส่งมีเพียงปีละ
5% แต่เมื่อปรับโครงสร้างใหม่แล้วพบว่ามีอัตราการเติบโตด้านยอดขายเพิ่มขึ้น
15-20%
โดยในปีนี้คาดว่า ซีเอ็มจี จะทำยอดขายได้มากถึง 4,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้
มาจากเซ็นทรัลเทรดดิ้ง 45% เซ็นทรัลการ์เมนท์ 25% บริษัท ซีเทรคสากล จำกัด
14% และเอส เค การ์เม้นท์ 16%
สำหรับการบริการงานภายในนั้น นายพิชัย กล่าวว่า เมื่อขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของซีเอ็มจีแล้ว
ในส่วนผู้บริหารของบริษัทในเครือภายใต้ซีเอ็มจี แทบทั้งหมดคือคนนอกตระกูลจิราธิวัฒน์
นอกจากนี้ในส่วนของผู้จัดการฝ่ายต่างๆก็จะเป็นการจ้างมืออาชีพเข้ามาบริหารงานทั้งหมด
ซึ่งที่ผ่านมาได้เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานแล้วถึง 15% ของพนักงานในเครือ
แต่ทั้งนี้ในส่วนของพนักงานที่ทำ งานอยู่เดิมและยังมีศักยภาพก็ยังคงทำงานต่อไป
ระบบภายในองค์กรจะมีรูปแบบการบริหารงาน ใหม่ให้มีมืออาชีพมากขึ้นโดยที่แต่ละฝ่ายจะต้องจัดทำแผนระยะยาว
และต้องเสนอโครงการมาให้คณะกรรมการพิจารณา รวมทั้งการตั้งงบประมาณด้วย ซึ่ง
ต่างจากในอดีตที่ไม่มีทิศทางการบริหารที่ชัดเจน เพราะเราทำงานแบบครอบครัว
ในด้านของการขยาย ธุรกิจนั้น
เนื่องจากสินค้าที่ซีเอ็มจี จัดจำหน่ายส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าสินค้าแบรนด์เนมที่มีชื่อเสียง
ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 60% ส่วนที่เหลือเป็นแบรนด์ที่ผลิตขึ้นเองในลักษณะของเฮาส์แบรนด์
โดยแบรนด์นำเข้านั้นส่วนหนึ่งจะขยายข่องทางจำหน่ายผ่านช้อปของตัวเอง อาทิ
G2000 ,U2 เป็น ต้น ซึ่งทั้งสองแบรนด์นี้จะเปิดสาขาใหม่ที่ศูนย์การ ค้าเซ็นทรัล
พระราม 2 ในปลายปี 2545 ที่เซ็นทรัล
แอร์พอร์ต เชียงใหม่ และกำลังเจรจากับทางสยามพารากอน ด้วย ส่วนสินค้าประเภทอื่นๆนั้น
ก็จะเพิ่ม การวางสินค้าในช่องทางที่มีอยู่แล้วให้มากขึ้นด้วย