การรุกธุรกิจของจีอี แคปปิตอลในช่วง ที่เอเชียกำลังเกิดวิกฤติ
ทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็น King of Crisis และหลังจากเศรษฐกิจกำลังฟื้นจีอี
แคปปิตอลยิ่งแข็งแกร่งขึ้นจากการกล้าลงทุน
ถึงแม้ว่าจีอี แคปปิตอลจะเสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือประเทศในภูมิภาคเอเชียนับตั้งแต่กลางทศวรรษ ที่
90 โดยส่วนใหญ่จะเข้ามาในรูปแบบการร่วมลงทุน (joint venture) ซึ่งไม่ได้เริ่มต้นเข้ามาลงทุนโดยตรงในภูมิภาคนี้
จนกระทั่งเกิดวิกฤติทางการเงิน มูลค่าทรัพย์สินตกฮวบฮาบ และบริษัทต่างๆ เริ่มถดถอยจากค่าเงินตกต่ำ
ปี 1997 จีอี แคปปิตอลเริ่มต้นด้วยการเสาะแสวงหาเป้าหมายในการเข้าซื้อธุรกิจด้วยการใช้เงินน้อย
แต่มีประสิทธิภาพการทำกำไรในธุรกิจบริการทางการเงิน (financial service)
อาทิ ลิสซิ่ง ประกันชีวิต และสินเชื่อ เพื่อผู้บริโภค
ตั้งแต่ปี 1998 จีอี แคปปิตอลจ่ายเงิน เพื่อการเข้าไปซื้อทรัพย์สิน ที่ถูกยึดมา ซึ่งเป็นเชื้อโรค ที่แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคเอเชียมากกว่า
15 พันล้าน เหรียญสหรัฐ เมื่อเข้าซื้อกิจการเจแปน ลิสซิ่ง คอร์ป 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ส่งผลให้จีอี แคปปิตอลกลายเป็นผู้นำด้านการให้บริการการเงินในญี่ปุ่นทันทีรวมไปถึงการเข้าซื้อทรัพย์สิน ที่กำลังตกต่ำในธุรกิจต่างๆ
ตั้งแต่ฟิลิป- ปินส์ไล่ลงมาจนถึงประเทศไทย
จีอี แคปปิตอลคาดหวังว่า ฐานธุรกิจของตนเองในภูมิภาคเอเชียจะสร้าง รายได้สูงถึง
10% ของรายได้ทั้งหมดทั่วโลกในปีหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 1997 ที่สร้างรายได้เพียงประมาณ
1% เท่านั้น
หลังจากนี้ไป ซึ่งเป็นช่วง ที่วิกฤติเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียกำลังหายไป บัลลังก์ของจีอี
แคปปิตอลยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยนั้น ถ้าไม่นับญี่ปุ่น และออสเตรเลียสามารถทำรายได้เป็นอันดับ
1 ในภูมิภาคนี้แม้ว่าจำนวนตัวเลขจะไม่เป็นที่เปิดเผยก็ตาม
เพราะเป้าหมายของจีอี แคปปิตอลในประเทศไทยอยู่ ที่การสร้างธุรกิจให้เป็นธุรกิจระดับโลก
ให้เป็นบริษัท ที่มีฐานะเทียบเท่าหรือเหนือกว่าบริษัทที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลก
"เราจะไปให้ถึงจุดหมายดังกล่าว ได้ต้องหาบุคลากรที่ดีที่สุดมาร่วมงาน จะเพิ่มคุณค่าให้แก่เขาด้วยเทคโนโลยี และการฝึกอบรมระดับโลกพร้อมนำบุคลากรเหล่านั้น มาร่วมงานกับเราด้วยทรัพยากรระดับโลก ที่มีอยู่"
มาร์ค นอร์ บอม ผู้บริหารสูงสุด เจเนอรัล อิเลคทริค (ประเทศไทย) และประธานจีอี
แคปปิตอล (ประเทศไทย) กล่าว
ตอกย้ำคำพูดของจอห์น เอฟ. เวลซ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารเจเนอรัล
อิเลคทริค ที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยเมื่อปลายปีที่แล้ว เขาบอกว่าแนวทาง ที่จีอีใช้ในการขยายธุรกิจไปทั่วโลกให้คิดในขอบข่ายโลก และกระทำในชุมชนท้องถิ่น
(think globally, act locally)
"ผมปรารถนา ที่จะให้ไทยมองเห็นผมเป็นชาวอเมริกัน ที่อยากจะเป็นหุ้นส่วนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย"
ตีความง่ายๆ ก็คือ เขาเห็นประเทศไทยมีความหมายสำหรับจีอี แคปปิตอลเป็นอย่างยิ่ง
เพราะด้วยยอดขาย ที่ทำได้ปีละหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ
ปัจจุบันจึงถือได้ว่า บัลลังก์จีอี แคปปิตอลในประเทศไทยนับวันจะแข็งแกร่งมากขึ้นหลังจากสร้างธุรกิจมาในช่วง ที่บริษัทอื่นเมินหน้าหนี
ถือเป็นความได้เปรียบต่อบริษัทอื่นๆ ที่จะเข้ามาแข่งขัน โดยเฉพาะการให้บริการทางเงิน
"เรามองเศรษฐกิจของไทยจะไปได้ไกล ถึงได้กล้าลงทุนในช่วงเกิดวิกฤติ
โดยเข้ามาปล่อยเงินกู้ให้ผู้บริโภค ซึ่งสวนทางกับบริษัทอื่นๆ ที่ถอนการลงทุน
ออกไป" จามิกร บูรณะนนท์ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ
หัวหน้าธุรกิจอี-บิสซิเนส และหัวหน้าฝ่ายควบคุมคุณภาพ จีอี แคปปิตอล ประเทศไทยกล่าว
กลยุทธ์ ที่จีอี แคปปิตอลใช้ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
คือ การเข้า ไปร่วมลงทุนกับบริษัทท้องถิ่น "เราพยายามมองหาพันธมิตรเก่งๆ
เพื่อขยายกิจการ" จามิกรบอก
จีอี แคปปิตอลประเทศไทยเป็น บริษัทในเครือจีอี แคปปิตอล เซอร์วิสเซส ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยธุรกิจของเจเนอ
รัล อิเล็คทริค (GE) ในอเมริกา ปัจจุบัน จีอี แคปปิตอลในไทยดำเนินธุรกิจ
2 กลุ่มหลัก คือ สินเชื่อ เพื่อผู้บริโภค และสินเชื่อ เพื่อการพาณิชย์
สินเชื่อ เพื่อการบริโภคจีอี แคปปิตอลได้ตั้งบริษัทจีอี ออโต้ ลิสซิ่ง เพื่อให้
บริการสินเชื่อ เพื่อเช่าซื้อรถยนต์ ตั้งขึ้นมาเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ช่วงแรกมีผู้ถือหุ้น
3 ราย คือ จีอี แคปปิตอล ธนาคารออมสิน และบงล.จีเอฟ และในปลายปี 1997 ธนาคารออมสินขายหุ้นทิ้งรวมถึงบงล.จีเอฟก็ขายหุ้นออกไปในปีถัดมา
โดยทั้งสองขายหุ้นให้จีอี แคปปิตอล ปัจจุบันจึงถือหุ้นเต็ม 100% ในจีอี ออโต้
ลิสซิ่ง
บริษัทดังกล่าวเติบโตขึ้นมาอย่าง ต่อเนื่องจนกลายเป็นบริษัทเช่าซื้อ ที่ใหญ่ที่สุดในไทย "เราคำนวณจากรถ ที่ขายทั้งหมดในไทยผ่านการเช่าซื้อกับเรามากที่สุด"
จามิกรกล่าว
สาเหตุประการหนึ่ง ที่ทำให้จีอี ออโต้ ลิสซิ่งกลายเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อ
เช่าซื้อรถยนต์รายใหญ่ที่สุด คือ การชนะประมูลสินเชื่อรถยนต์ของปรส. เมื่อ
กลางปี 2541 โดยมีมูลค่าบัญชี 43,200 ล้านบาท มีลูกค้ามากกว่า 2.4 แสนราย
นอกจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์แล้วยังมีสินเชื่อ เพื่อการบริโภคในระบบการซื้อสินค้าด้วยเครดิต
ในรูปของการบริการบัตรเฟิร์สช้อยส์ และบัตรพาว-เวอร์บาย และยังมีบัตรเครดิตโดยเข้าถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเซ็นทรัลคาร์ด
อีกทั้งยังมีสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงทดลอง
"ธุรกิจนี้เราระมัดระวังมาก และเชื่อว่าการแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะแบงก์ต่างชาติ ที่เริ่มรุกแรงขึ้น"
นอกจากนี้ยังจับมือ กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการบัตรเครดิต และสินเชื่อ
ผู้บริโภค โดยเข้าถือหุ้นในบริษัทบัตรกรุงศรีอยุธยา จำนวน 50%
สำหรับด้านธุรกิจสินเชื่อ เพื่อการพาณิชย์นั้น ให้บริการสินเชื่อ เพื่อการจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์
การก่อสร้าง และเครื่องจักรต่างๆ และเข้าถือหุ้นจำนวน 80% ในบริษัทจีอีเอเชีย
ไฟแนนซ์ เพื่อบริการสินเชื่อสำหรับธุรกิจการส่งออก "ขณะนี้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
เรากำลังบริหาร หนี้เสียของบริษัทอยู่" จามิกรกล่าว
รวมถึงการตั้งบริษัทบางกอก แคปปิตอล อัลไลแอนซ์ขึ้น โดยถือหุ้น 50% ที่เหลือเป็นของโกลด์แมน
ซาคส์ และนักลงทุนต่างชาติ เพื่อดำเนินธุรกิจปรับโครงสร้างหนี้ โดยที่ผ่านมา
ชนะการ ประมูลสินทรัพย์ประเภทสินเชื่อธุรกิจของปรส. ซึ่งมีมูลค่าตามบัญชีกว่า
2 แสนล้านบาท รวมไปถึงการรับเป็นที่ปรึกษาให้กับธนาคารกสิกรไทยในการรับวงหนี้อีกด้วย
หากพูดถึงผลประกอบการของจีอี แคปปิตอลช่วง ที่ผ่านมาจะเห็นว่า 80% มาจากสินเชื่อ เพื่อผู้บริโภค
"บังเอิญเราได้พันธมิตรเข้ามาดี ซึ่งก็คือ วิธีหาลูกค้าของเราด้วย
และการนำโปรแกรมการปล่อยสินเชื่อจากต่างประเทศเข้ามาใช้ในเมืองไทยจึงไปได้ดี"
อย่างไรก็ตาม จีอี แคปปิตอลยัง ไม่หยุดการขยายธุรกิจในประเทศไทยเพียงเท่านี้
"เพราะนโยบายของเราคือ ขยายธุรกิจไปเรื่อยๆ"
และขณะนี้กำลังมุ่งไปยังธุรกิจประกันภัย
สินเชื่อเช่าซื้อเครื่องบิน สินเชื่อ เพื่อ ที่อยู่อาศัย รวมไปถึงการหาสินค้าใหม่เข้ามา
ทั้งด้านบันเทิง และ lifestyle