|
10 ข้อในการคัดเลือกพนักงานแบบไทยๆ
นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2527)
กลับสู่หน้าหลัก
เรื่องที่ผมจะเขียนให้อ่านกันต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เชื่อขนมกินได้เลยว่า ไม่มีตำราเล่มไหนเคยเขียนกันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษ เพราะผมเองก็ใฝ่หามานานเต็มที จนในที่สุดต้องคิดค้นและทดลองทำด้วยตนเอง ซึ่งก็ได้ผลไม่เลวเลย ส่วนใครจะเอาไปใช้บ้างก็ไม่หวงวิชาอะไรหรอกครับ ที่สำคัญที่สุดไม่ได้ผลอย่างที่ว่าก็อย่ามาด่าผมก็แล้วกัน
การคัดเลือกพนักงานขายใหม่นั้นเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายและเสี่ยงอันตรายเป็นที่สุด
มันเหมือนการโยนหัวโยนก้อยยังไงยังงั้นทีเดียว
คุณอยากได้หัว มันอาจจะเป็นก้อยก็ได้ใครจะรู้
มันไม่มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัว เข้าทำนองว่า ตาดีก็ได้ (คนดี) ตาร้ายก็เสีย (เวลาความคาดหวัง) ไม่ผิดเพี้ยน
ยิ่งไปกว่านั้นบางทีนึกว่าเป็นทองแท้กลับกลายเป็นตะกั่วทำให้ปวดหัวใจก็มีให้เห็นอยู่มาก
ป่วยการที่จะต้องพรรณนาให้ฟังว่า การที่เลือกคนผิดนั้นคนเลือกจะเจ็บแสบสักแค่ไหน
เพราะไหนจะต้องเสียค่าใช้จ่าย เสียเวลาเสียเวลาเสียโอกาสทางธุรกิจแล้ว ยังทำให้เกิดความสูญเสียสุขภาพจิตอีก ซึ่งประมาณค่าไม่ได้เลย
บางทีมันก็เหมือนกับผงเข้าตา ไม่มีใครมาเขี่ยออกได้
จากการที่มีโอกาสคลุกคลี คุ้นเคยกับการพิจารณาคัดเลือกพนักงานขายในระดับต่างๆ ทำให้พอจะมีแนวทางในการพิจารณาคัดเลือกได้ดังต่อไปนี้คือ
1. สินค้า ประเภทของสินค้าจะเป็นตัวกำหนดให้คุณทราบได้ว่า บุคคลที่จะคัดเลือกมาให้เป็นเทวทูตของคุณนั้น ควรมีคุณสมบัติอย่างใด เช่นเป็นคนช่างเจรจา ต่อรองเก่งฉกาจหรือเป็นนักวิชาการที่สามารถอธิบายเรื่องยากๆ ให้เข้าใจได้ภายในไม่กี่นาที หรือเป็นคนที่มีสัญชาตญาณในการให้บริการช่วยเหลือผู้อื่น
ส่วนมากเวลาที่คัดเลือกกันจริงๆ มักจะดูอย่างกว้างๆ เอาแต่คุณสมบัติทั่วๆ ไปลืมนึกถึงลักษณะเฉพาะของสินค้าหรือบริการที่ต้องรับผิดชอบ จึงมักจะได้คนดีที่ไม่เหมาะสมกับงานอยู่เสมอๆ
หากไม่เชื่อจะลองย้อนเวลาไปดูพนักงานขายที่อยู่ในปัจจุบันบ้างก็ได้ เพราะหลายๆ คนที่คัดเลือกมาในอดีตนั้น ดูแล้วมีความเหมาะสมสูสีกัน แต่เพียงไม่กี่เดือนกี่ปีให้หลัง บางคนก้าวล้ำนำหน้าไปไกลกว่าเพื่อน ทั้งนี้เพราะมีคุณลักษณะเฉพาะตัวที่สอดคล้องกับงานที่ตนรับผิดชอบ หรือคุณค่า ดวงดี?
2. ลูกค้า เป็นปัจจัยหรือองค์ประกอบที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลย เรียกได้ว่าเป็นเงื่อนไขตัวสำคัญทีเดียว การที่จะมุ่งขายสินค้าหรือบริการที่ดีเพียงอย่างเดียว ไม่แน่เสมอไปว่าจะขายได้ ต้องอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างคนซื้อ คือลูกค้า กับคนขายอีกด้วย
บ่อยครั้งที่เราจะพบว่า พนักงานขายมีปัญหาทะเลาะกับลูกค้า ทำให้บริษัทเกิดปัญหาบ่อยๆ ที่สำคัญที่สุด โอกาสทางธุรกิจเสียหายอย่างน่าเสียดาย
การพิจารณาลูกค้าเพื่อที่จะมากำหนดคุณสมบัติพนักงานขายจึงเป็นสิ่งที่น่าจะพึงสังวรกันไว้บ้าง เช่น ถ้าลูกค้าเป็นพ่อค้าคนกลางซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจีน พนักงานขายที่จะคัดเลือกมาร่วมงานด้วยก็น่าจะเจรจาต้าอ่วยได้บ้าง หากลูกค้าเป็นนายห้างต่างชาติ ก็ควรจะมีความสามารถในการพูด เขียน อ่านภาษาอังกฤษได้เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ในบางสินค้าหรือธุรกิจ เช่นการประกันชีวิต ตลาดธรรมชาติของตัวแทนหรือพนักงานขายอันได้แก่ ญาติพี่น้อง หรือบุคคลที่มีความคุ้นเคยใกล้ชิดสนิทสนม ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาอีกประการหนึ่ง
3. ตลาด เมื่อพิจารณากันอย่างรอบคอบแล้วจะเห็นได้ว่า การกำหนดทิศทางในการตลาดเป็นปัจจัยหรือสาเหตุสำคัญในการพิจารณาคัดเลือกพนักงานขายอีกประการหนึ่ง เช่น ตลาดที่ต้องการขายอยู่ในต่างจังหวัดหรือกรุงเทพมหานคร ตลาดที่ต้องการเป็นตลาดอยู่ตัวแล้ว และต้องการเพียงรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ หรือเป็นตลาดใหม่ที่ต้องการบุกเพื่อเจาะทะลวงแย่งชิงส่วนแบ่งปันตลาดจากคู่แข่งขัน
สภาวะโดยทั่วๆ ไปนั้นเราเป็นผู้นำในตลาดหรือผู้ตาม เป็นคนเก่าเล่ายี่ห้อที่ลูกค้าให้ความเชื่อถือจะเปลี่ยนตัวเปลี่ยนหน้าคนขายสักกี่คน ลูกค้าก็ไม่สนใจเพราะเข้าใจหรือคุ้นเคยกับระบบต่างๆ ที่กำหนดเอาไว้แล้ว หรือลูกค้าเองยังไม่ค่อยแน่ใจต่อทิศทางนโยบายของบริษัท ต้องคอยอาศัยคำอธิบายชี้แจงจากคนขายอยู่ร่ำไป รวมทั้งต้องคอยกระตุ้น ให้กำลังใจในการช่วยส่งเสริมการขาย ความสนิทสนมกันระหว่างลูกค้ากับคนขายก็เป็นเรื่องที่ต้องระวังให้ดีด้วย
4. บริษัทต้องพิจารณาดูว่า นโยบายในการขาย การตลาดนั้นต้องการอย่างใดเป็นประการสำคัญ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยิ่งไปกว่านั้นนโยบายเกี่ยวกับผลประโยชน์ตอบแทนในการขายเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาประกอบด้วย เช่น การจ่ายเงินเดือนเพียงอย่างเดียว เงินเดือนบวกค่าคอมมิชชั่น หรือมีแต่ค่าคอมมิชชั่นเพียงอย่างเดียว ก็จะสามารถทำให้เราพิจารณาคัดเลือกพนักงานได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับการวางแผน สายการบังคับบัญชาในงานที่เกี่ยวข้อง เช่นเป็นฝ่ายขายเอกเทศ หรือต้องทำหน้าที่อย่างอื่นประกอบด้วย เป็นทั้งผู้ส่งเสริมการตลาด เป็นพนักงานขับรถ เป็นคนเก็บเงิน หรือทำทุกอย่างที่ขวางหน้า อย่างนี้เป็นต้น
5. คู่แข่งขัน เรื่องนี้ขอฝากบรรดานักบริหารงานการขายทุกท่านด้วย เพราะเชื่อว่าส่วนใหญ่หลงลืมหรือมองข้ามจุดนี้ไป ความแข็งแกร่ง หรืออ่อนแอของคู่แข่งขัน น่าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางทางการตลาดและกำหนดคุณสมบัติของพนักงานขายได้อีกด้านหนึ่ง เหมือนกับการแข่งขันกีฬายกทีม ซึ่งเราจะต้องศึกษาจุดอ่อนจุดแข็งของคู่ต่อสู้ เพื่อที่จะได้เลือกตัวนักกีฬาของเราเข้าประกบ เช่นเอามืออ่อนสู้กับมือแข็ง แล้วเอามือแข็งฆ่ามืออ่อนเสียอย่างนี้ เป็นต้น
จะพบเห็นอยู่เสมอว่า ข้อสังเกตนี้หากใช้ได้ถูกต้องจะมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อผลงานการขาย และผลกำไรของบริษัท เช่น การพิจารณาสภาวะแวดล้อมของตลาดว่า ในเขตภาคเหนือนั้น คู่แข่งขันมีความพร้อมและแข็งแกร่งมาก ยากที่จะแย่งชิงส่วนแบ่งมาได้ ก็ป่วยการโหมหรือทุ่มกำลังลงไปให้เหนื่อยแรง ควรเอาพนักงานขายมือรองๆ หรือมือใหม่เข้าต่อกรด้วย เพราะไม่ได้หวังผลอะไรมากนัก
การสับเปลี่ยนเอานักขายระดับแนวหน้าของเราบุกทะลวงแนวของคู่ต่อสู้ที่มีจุดอ่อนในบางเขตจะทำให้เราสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งมาได้มากกว่า เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการทุ่มโหมเข้าไปสุดตัวในแนวที่คู่แข่งขันแข็งอยู่แล้ว
หรือในกรณีที่เรามีส่วนแบ่งตลาดดีอยู่เป็นผู้นำ ก็ต้องดูว่าคู่แข่งขันมีแนวทางอย่างไร เพื่อที่จะกำหนดตัวขุนพลขุนทัพได้ถูกต้อง อย่างนี้เป็นต้น
เป็นเรื่องการกำหนดยุทธวิธี หรือสงครามการตลาดโดยแท้
เมื่อได้วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้แล้วก็สามารถที่จะเขียนหรือกำหนดคุณสมบัติเบื้องต้นได้ว่า เราต้องการคนชนิดไหน มีคุณลักษณะอย่างไร มาร่วมงานกับเราได้ถูกต้องต่อไป
จะขออนุญาตข้ามขั้นตอนในการกำหนดคุณสมบัติ การรับสมัครไป ตัดเข้ามาถึงการคัดเลือกกันเลยทีเดียว เพราะขั้นตอนอื่นๆ นั้นมีท่านผู้รู้ได้เขียนไว้มากมายหลายเล่มแล้ว
เริ่มตั้งแต่การพิจารณาใบสมัครเป็นอันดับแรก
ขอบอกเสียก่อนว่า เป็นแบบฉบับของผมเอง ไม่มีใครเคยเขียนหรือเคยสอนมาก่อน
ผมได้เคยเอาไปเสนอต่อพรรคพวกเพื่อนฝูงในการสัมมนาของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย มาแล้วหลายหน ได้รับความสนใจจากสมาชิกมากทีเดียว
ถ้าจะดูกันให้ดีๆ จะพบเห็นว่า การกำหนดแบบฟอร์มของใบสมัครนั้น คงกระทำตามกันมาเป็นทอดๆ อาจจะลอกเลียนแบบกันเรื่อยมาก็เป็นได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นบริษัทอะไร ก็มักจะมีรูปแบบคล้ายคลึงกันไปหมด ซึ่งก็เป็นเรื่องของคนที่จะนำมาใช้ว่า ใช้เป็น หรือใช้ได้ มากน้อยกว่ากัน
สิ่งที่ควรพิจารณาจากใบสมัครแต่ละใบพอจะอธิบายได้ดังนี้คือ
1. รูปถ่าย คนส่วนใหญ่จะมองข้ามความสำคัญของสิ่งนี้ไปเกือบทุกคน คำถามที่น่าจะถามตัวเองก็คือ ต้องให้ผู้สมัครแนบรูปถ่ายมาด้วยทำไม เพื่อวัตถุประสงค์อย่างใด และจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการคัดเลือกอย่างไร เป็นต้น คำตอบที่ได้รับคงจะแตกต่างดันออกไปสุดแท้แต่จะคิด
จะมีสักกี่คนที่ฉุกคิดว่า มันมีประโยชน์มหาศาลในการพิจารณาคัดเลือกเป็นขั้นแรกก่อนอะไรอื่น
อย่างน้อยสามารถดูถึง โหงวเฮ้ง หรือนรลักษณ์ เป็นเบื้องต้น
ดูรสนิยม ฐานะรายได้ และความเตรียมพร้อมของผู้สมัคร เป็นเบื้องปลาย
คุณเคยสังเกต แบบท่าทางที่ถ่าย ร้านที่ถ่ายและความสวยงามของการถ่ายรูปบ้างหรือเปล่า
บางคนสุกเอาเผากิน ถ่ายตามร้านประเภท 1 ชั่วโมงได้ก็มี บางคนพิถีพิถันมากต้องจากที่มีชื่อ ราคาแพง บางคนสวยกว่าหรือหล่อกว่าตัวจริงก็มีออกถมถืดไป
อย่างน้อยที่สุดเหมือนสินค้าที่มีหีบห่อสวยงาม ใครเห็นอยากได้ ทั้งๆ ที่ยังไม่เจอะเจอตัวจริงสักหน่อย เรียกว่า ฟอร์มดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ส่วนใครสนใจที่จะศึกษาเรื่องโหงวเฮ้งที่ว่านี้ มีหนังสือให้อ่านมากมายหลายเล่ม
ลองเอามาอ่านกันดูเถิดเป็นของดีๆ ทั้งนั้น
2. ลายมือ เมื่อผ่านจากรูปถ่ายอันเป็นด่านแรกแล้ว ก็คงจะมาถึงลายมือที่เขียนสมัครงาน ในเรื่องนี้หากคุณเป็นคนช่างสังเกตก็สามารถที่จะแยกแยะออกไปได้เลยว่า ผู้สมัครคนไหนที่มีนิสัยใจคออย่างไร ใจเย็น ใจร้อน หนักแน่น โมโหฉุนเฉียว โลเล อ่อนไหว ใจน้อย ฯลฯ
ดูจากแง่มุมของตัวหนังสือที่เขียนก็อ่านผู้สมัครได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว
ถ้าจะสังเกตการเขียนพรรณนาความด้วยจะยิ่งเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
หรืออาจจะดูให้ลึกไปกว่านั้น ลองดูลายเซ็นบ้างก็ไม่เลว
ถามจริงๆ เถอะ คุณเคยดู เคยสังเกตบ้างไหมครับ
3. ชื่อและนามสกุล เรื่องนี้ดูเผินๆ แล้วมันไม่น่าจะมีความสลักสำคัญอะไรเลย
แต่คุณไม่เฉลียวใจบ้างหรืออย่างไรว่า “ชื่อนั้นสำคัญไฉน”
ถ้าไม่มีความสำคัญจะตั้งชื่อเสียงเรียงนามกันอย่างเพราะพริ้งทำไม
มันต้องมีความหมายแน่ๆ อย่างน้อยเจ้าตัวก็คงอยากจะเป็นให้สมชื่อ จึงมักจะเห็นมีคนเปลี่ยนชื่อให้มันดูขึงขัง จริงจังตามที่ตนเองปรารถนาอยู่ในใจ
หากจะดูย้อนกลับไป พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเองคงมีความบันดาลใจอยากให้ลูกของตนเป็นไปตามที่ตนต้องการ จึงตั้งชื่อไว้เป็นการล่วงหน้า
คุณน่าจะลองถามตัวเองดูก็ได้นี่ว่า คุณเองนั้นมีจุดมุ่งหมายในชีวิตเป็นอย่างไร
ในกรณีการสัมภาษณ์ คุณก็ควรถามไถ่เจ้าตัวผู้สมัครดูบ้าง ได้อะไรๆ ไม่น้อยทีเดียว
คราวนี้ ก็มาถึงนามสกุล มันจะเป็นเครื่องบอกเล่าเก้าสิบว่า มีเทือกเถาเหล่ากอมาจากไหนเป็นลูกจีน ลูกแขก หรือไทยแท้ๆ 100 เปอร์เซ็นต์
ไม่ต้องดูอะไรอื่น เอาแค่ ผอ.คนเก่งของเราก็ได้ ลิ้มทองกุล บอกอะไรคุณบ้าง
บางทีมันสามารถบอกได้ว่าเป็นคนปักษ์เหนือ ปักษ์ใต้ หรือบรรพบุรุษมีความชำนาญในด้านไหน เป็นนักการทหาร หรืออาชีพช่าง
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ช่วยทำให้คุณตัดสินใจได้ในเบื้องต้น โดยที่ยังไม่ต้องทำอะไรเลย
4. วันเดือนปีเกิด เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยในการคัดเลือกให้คุณได้อย่างคาดไม่ถึง จะมีสักกี่คนที่สนใจบ้างว่า
ที่ต้องให้กรอกใบสมัครว่า เกิดเมื่อไร เดือนไหน ปีอะไร เพื่อที่จะดูว่ามีอายุแก่อ่อนเพียงใดแค่นั้น
ทำไมไม่ลองให้บอกละเอียดไปอีกสักนิดว่า เกิดวันอะไร จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ หรือ อาทิตย์ อย่างน้อยมันทำให้คุณเห็นอะไรรางๆ แล้วใช่ไหม
ครับ วันเกิดนั้นมันจะเป็นผลกระทบต่ออุปนิสัยใจคอของแต่ละคน
เช่น เป็นคนรักสวย รักงาม เป็นคนเจ้าชู้ เป็นคนแข็ง เป็นคนที่รักการศึกษาหาความรู้ หรือเป็นคนใจเหี้ยม ใจแข็ง หรือเป็นคนที่มีอำนาจ
ไม่เชื่อลองถามคุณอาของผมก็ได้ว่า ท่านเกิดวันอะไร ทำไมถึงต้องชื่อว่า อาทิตย์ แล้วก็มีนามสกุลว่า กำลังเอกด้วย
ส่วนเดือนนั้นก็อาจเอามาใช้ในการคิดคำนวณดูว่า เป็นคนที่อยู่ในกลุ่มที่ลัคนาราศีอะไร
เหมาะสมกับงานที่จะให้ทำหรือไม่ หรือมันจะมาช่วยเสริมกำลังให้คุณ หรือกลายมาเป็นตัวถ่วงให้คุณต่ำลง อย่านึกว่าไม่สำคัญเลยนะครับ ผมขอร้อง
ปีที่เกิดก็เช่นกัน อย่าเพียงแต่รู้ว่าเกิด พ.ศ. ไหนเท่านั้น น่าจะให้กรอกว่าเกิดปีชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง ดูบ้าง คุณอาจจะเดานิสัยใจคอได้เลยทีเดียวว่า
เป็นคนชอบแต่งตัว เป็นคนพูดมาก เป็นคนขยัน เป็นคนขี้เกียจ
ครับ เรื่องอย่างนี้ โบราณท่านสอนไว้แยบคายมาก ไม่ใช่อะไรอื่นเลย สัตว์ทั้งหลายที่เป็นตราประจำปีนั่นแหละที่จะเป็นตัวบอกให้คุณรู้
ทำไมต้องเป็นวัว ไม่ใช่ควาย ทำไมต้องเป็นไก่ ไม่มีเป็ด มีม้าแต่ไม่มีช้าง
คิดดูสิครับ มันต้องมีอะไรเป็นจุดมุ่งหมายอย่างแน่นอน
ที่ผมพูดมานี้เป็นเรื่องของการนำเอาวิชาว่าด้วยโหราศาสตร์มาใช้ในการพิจารณาคัดเลือกคน
ใครจะว่าโบราณ คร่ำครึก็ช่างปะไร ผมไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็แล้วกัน
อย่าว่าแต่เลือกคนมาทำงานกับเราแค่นี้เลย การปฏิวัติ รัฐประหาร หรือเปิดบริษัทยังต้องดูฤกษ์ ดูยาม แล้วทำไมเราจะเอามาใช้บ้างไม่ได้ คุณจะเชื่อหรือไม่ผมไม่ว่าอะไรคุณหรอก
5. สถานที่เกิด/ที่อยู่ปัจจุบัน ส่วนใหญ่มักจะมองข้ามไปอีกเช่นกัน หากดูให้ดีจะเห็นได้ว่าบางคนเป็นคนต่างจังหวัด เพิ่งเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เพียงไม่กี่ปี หรือเป็นคนกรุงเทพฯ มาตั้งแต่เกิด ซึ่งจะให้ความสำคัญแตกต่างกันมากเลยทีเดียว
หากเป็นไปได้ควรจะดูถึงที่อยู่อาศัยปัจจุบันว่า อยู่บ้านของตัวเอง อยู่กับญาติ หรือหอพัก
มันคงจะทำให้คุณตาสว่างมากขึ้นกว่าไม่สังเกตอะไรเลย
ลองถาม ลองสังเกตดูซีครับ สนุกจะตายไป
6. บิดา มารดา เห็นทุกแห่งล้วนแต่ให้กรอกว่าชื่ออะไร นามสกุลอะไร อาชีพอะไร มีชีวิตอยู่หรือไม่ ดูๆ ก็ละเอียดดีออก แต่ไม่รู้ว่าคุณเองเคยถามให้ลึกไปกว่านั้นหรือไม่ และรายละเอียดเหล่านี้มันบอกอะไรให้คุณ
ถ้าคุณอยากได้พนักงานขายที่มีฝีมือในอนาคต หากพ่อแม่เป็นพ่อค้าแม่ขายอยู่อย่างน้อยที่สุดก็ยังพอจะมีแววอยู่บ้าง แต่ถ้าหากรับราชการ หรือทำไร่ทำนาก็เห็นจะเข็นยากอยู่สักหน่อย
เว้นไว้แต่ว่าคุณต้องการตลาดธรรมชาติ หากพ่อแม่เป็นคนมีชื่อเสียง ฐานะ หรือหน้าที่การงานดี เช่น เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นคนดังในท้องถิ่น รับรองเป็นไม่ผิดหวังแน่
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นนี้ มันจะช่วยให้คุณพิจารณาประกอบกับสิ่งอื่นๆ ได้ไม่น้อยทีเดียว
7. จำนวนญาติพี่น้อง เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรดูให้ลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายชื่อและการศึกษา การทำงานของพี่น้องของผู้สมัคร ดูตำแหน่งแห่งที่ด้วยว่า เป็นคนหัวปี หรือเป็นน้องนุชสุดท้อง
บางคนเป็นน้องเล็ก มีพี่สาวพี่ชายหลายคน
คนแรกเรียนหมด ทำงานอยู่เมืองนอก คนที่สองจบวิศวะ ทำงานด้วยเรียนด้วยที่อเมริกา พี่สาวจบเภสัช เรียนต่อที่อเมริกา ตัวเองเป็นน้องเล็ก จบ เอบีเอซี มา ทุกอย่างดีหมด
คุณจะรับมาทำงานด้วยไหม เอาหัวประกันได้เลยว่า ทำงานได้ไม่ถึง 3 เดือน เพื่อนจะมาลาออก
แล้วก็ไปเรียนต่ออเมริกาแหงๆ
การดูรายละเอียดเหล่านี้ จะช่วยให้คุณเห็นพื้นฐานทางการเงิน การศึกษา แนวโน้มและเป้าหมายในชีวิตของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
ส่วนที่เป็นพี่คนโต ตามธรรมเนียมจีนถือว่าดีที่สุด เพราะมีความรับผิดชอบสูง
แต่หากเป็นคนไทย กลายเป็นคนสุดท้องดีที่สุด และอาจจะได้รับการสนับสนุนจากพี่ๆ มากกว่าคนอื่น
8. การศึกษาเล่าเรียน มีบางแห่งที่ให้กรอกโดยละเอียดว่า เรียนระดับไหน จากที่ไหนเมื่อไหร่ ซึ่งหากพิจารณากันให้ดีๆ แล้วก็เป็นประโยชน์ได้ไม่น้อยทีเดียว
อย่างน้อยที่สุด คุณก็พอรู้ว่า เป็นคนมาจากต่างจังหวัดโดยตลอด มาอยู่กรุงเทพฯ เพียง 4-5 ปี ตอนเรียนปริญญาตรี หรืออาชีวะ หรือเรียนประถม มัธยมมาจากนครศรีธรรมราชแล้วไปจบที่ มช. แล้วมาทำงานที่กรุงเทพฯ บอกได้เลยว่า ถนนหนทางใน กทม. ยังไม่รู้จักหมดแน่ๆ อย่างนี้เป็นต้น
เว้นไว้แต่คุณต้องการให้ออกไปลุยงานทางปักษ์ใต้ หรือเชียงใหม่ ก็อยู่ในข่ายที่ควรพิจารณา
ในเรื่องของโรงเรียนที่เรียนก็มีเรื่องน่าคิดไม่น้อย
คนที่เรียนมาจาก สวนกุหลาบ เทพศิรินทร์ กรุงเทพคริสเตียน หรือเซ็นต์คาเบรียล อำนวยศิลป์ ฯลฯ ล้วนมีผลต่องานการขายทั้งสิ้น เพราะพวกนักเรียนเก่ารุ่นพี่ๆ มีความรักพวกพ้องสูงมาก อาจะกลายเป็นตลาดธรรมชาติได้เป็นอย่างดี อยู่ที่สินค้าที่คุณจะขายนั้น ลูกค้าของคุณมีอาชีพอะไรเป็นสำคัญ
ถ้าต้องติดต่อค้าขายกับทนายความละก้อ ลูกแม่รำเพย มีอยู่เยอะแยะเลย
ถ้าลูกค้าเป็นนายธนาคาร หรือพ่อค้าวาณิช กรุงเทพคริสเตียน หรือเซ็นต์คาเบรียล อัสสัมชัญ ก็มีผล คุณว่าจริงไหมครับ
ถ้าเป็นระดับปริญญาตรี ต้องดูว่าจบมาจากคณะอะไรเป็นสำคัญ
สถาบันการศึกษาเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ควรมอง
เพราะแต่ละสถาบัน นิสิต นักศึกษามีวิถีชีวิตในการทำงานแตกต่างกันมาก
บางแห่งออกจะเป็นผู้ลากมากดี งานประเภทตีนติดดินทำไม่ได้ หรือไม่เต็มใจทำ บางแห่งออกไปคลุกคลีตีโมงกับลูกค้าดี แต่ชอบกินเหล้าเมายา ไม่ค่อยมีฟอร์ม บางแห่งทำงานทุกอย่าง หนักเอาเบาสู้ แต่ที่พูดมานี้ มันไม่เหมือนกันทุกคนไปหรอกนะครับ เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น
แต่เดิมมาผมมีความประทับใจกับรามคำแหงมาก เพราะทำงานทุกอย่างที่ขวางหน้า หนักเอาเบาสู้ อาจจะเป็นเพราะต้องการจะแข่งขันกับที่อื่นๆ เพราะตัวเพิ่งเกิดมาทีหลังก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้เห็นจะต้องรอฟังผลจากสุโขทัยบ้างเสียแล้วซี ได้ผลอย่างไร วันหน้าจะมาคุยให้ฟังใหม่
9. ประสบการณ์ในการทำงาน ผมหมายความถึงประสบการณ์ทั้งในวิทยาลัย มหาวิทยาลัย และการทำงานจริงๆ เป็นเรื่องที่น่าพิจารณามาก เพราะคนที่จะเป็นพนักงานขายที่ดีได้นั้นต้องเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์และภาวะผู้นำที่ดีพอสมควร การที่เคยทำงานร่วมกิจกรรมกับคนอื่นๆ มา ย่อมจะเป็นการได้เปรียบกว่าคนที่เอาแต่เรียนหนังสือเพียงอย่างเดียว หนอนหนังสือมาเป็นนักขายเห็นจะไปได้ยาก
แต่คุณก็ควรดูด้วยว่าทำกิจกรรมด้านไหนมาก่อน เป็นประธานเชียร์ ประธานชุมนุม ปฏิคม สาราณียกร หรืออาสาพัฒนา แต่ถ้าเป็นปาฐกถาและโต้วาทีแล้วละก้อ ควรรับมาฝึกขายสักพักแล้วโอนไปอยู่ฝ่ายฝึกอบรมน่าจะเหมาะที่สุด
ในเรื่องของประสบการณ์ที่ทำงานมา ก็ต้องดูว่า เปลี่ยนงานมาบ่อยหรือไม่ ทำไมถึงเปลี่ยน งานที่เปลี่ยนนั้นมันดีขึ้นกว่าเดิม ในลักษณะของสินค้าหรือผลประโยชน์รายได้ หรือเปลี่ยนแนวสินค้าเลย เป็นต้น จะทำให้คุณมองเห็นภาพของผู้สมัครชัดเจนขึ้น และเมื่อมีโอกาสได้สัมภาษณ์ก็จะสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
10. บุคคลที่อ้างถึง ส่วนมากหากเป็นคนที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ก็มักจะอ้างชื่อครูบาอาจารย์เป็นประจำ ซึ่งจะไม่เกิดผลอะไรเลย หากมีการอ้างถึงคนในแวดวงของการขายการตลาด น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า ยิ่งถ้าเป็นคนในบริษัทด้วยแล้วยิ่งดีใหญ่ เพราะสามารถตรวจสอบรายละเอียดและความประพฤติได้ดีกว่า
หากอ้างอิงถึงบุคคลภายนอก ควรที่จะต้องติดต่อสอบถามเสียด้วยว่า รู้จักกับผู้สมัครดีมากน้อยแค่ไหน งานที่เราจะให้ทำนั้นเหมาะสมหรือไม่ มีข้อแนะนำอย่างไร
อย่างน้อยที่สุดคุณอาจได้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์มากขึ้นกว่าที่ไม่ถามอะไรเลย
ครับที่ผมเล่ามานี้ เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆ ที่ได้มาจากประสบการณ์ของผมเอง
คุณลองเอาไปทำดู ได้ผลอย่างไร เล่ามาให้ฟังบ้างก็แล้วกัน
แต่ถ้าไม่ได้ผล ผมก็ต้องบอกว่า ของอย่างนี้ ลางเนื้อชอบลางยา
ตัวใครตัวมันก็แล้วกันนะครับ
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|