"ยงยุทธ" อ่อนข้อ JSL จำนรรค์โทษงบน้อย


ผู้จัดการรายวัน(26 เมษายน 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

"ยงยุทธ" พลิกลิ้น หลังขู่เชือด "เจ เอส แอล" ยกเลิกสัญญาไม่จ่ายเงิน ตั้งคณะกรรมการสอบเอกชนถลุงเงินหาประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง ทำงานชุ่ย จัดงานแบบงานวัด แต่หลัง "จำนรรค์ ศิริตัน" เข้าพบ กลับลำแจงไม่คิดถอนสัญญา แต่ให้ไปปรับปรุงมาเสนอใหม่ใน 3 วัน ก่อนบินไปญี่ปุ่น ประธานฯเจเอสแอล ออกโรงแจง โทษงบน้อย เวลาจำกัด ลั่นต้องคิดหนักหากรับงานรัฐคราวหน้า

เวลา 11.00 น. วานนี้ (25 เม.ย.) นายยงยุทธ ติยะไพรัช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวถึงปัญหาความไม่คุ้มค่าในการลงทุนในงานนิทรรศการโครงการไทยพาวิลเลี่ยน ในงาน World Expo 2005 ที่จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ว่า เสียงบประมาณแบบเปล่าประโยชน์ ไม่ได้สร้างหน้าตาชื่อเสียงให้กับประเทศไทย แม้เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัย นายสุวิทย์ คุณกิตติ เป็นรมว. และนายสุวัจน์ สิงห์พันธ์ อดีตอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยมีบริษัท เจ เอส แอล จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทานในการดำเนินการจัดงาน ที่ทางกระทรวงฯลงทุนว่าจ้างสูงถึงกว่า 215 ล้านบาท ทั้งยังส่งงานล่าช้า

การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทางทส.ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งจะสรุปผลให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้า โดยมอบหมายให้นายศุภวิทย์ เปี่ยมพงศ์สานต์ ผู้ตรวจการกระทรวงฯ และจะเรียกเอาสิทธิในการจัดงานจากบริษัท เจ เอส แอล คืนมา โดยจะไม่จ่ายเงินงวดต่อไปให้อีก จะตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษขึ้นมารื้อโครงสร้างการจัดงานใหม่หมด

"งานนี้เจ เอส แอลจัดไม่ได้เรื่อง ขายหน้าประเทศเพื่อนบ้าน จึงขอให้ เจ เอส แอล ถอยออกมา เพื่อให้ทางกระทรวงฯ เข้าไปแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แก้ภาพลักษณ์ประเทศไทย แต่ไม่อยากให้ถึงขั้นต้องมาเปิดสัญญาแล้วต้องเผชิญหน้าทะเลาะฟ้องร้องกัน หรือต้องถึงขึ้นบัญชีดำเป็นบริษัทเอกชนที่ทำให้ภาครัฐเสียหายกันเลย" นายยงยุทธกล่าว

รมว.ทส ยังกล่าวอีกว่า ทางบริษัท เจ เอส แอล ทำเกินกว่าที่สัญญาแนบท้ายกำหนด ด้วยการหาสปอนเซอร์โฆษณาสนับสนุน จัดสรรแผงลอยเก็บค่าเช่าที่ต่างๆ ในงานตามอำเภอใจ โดยไม่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงฯ แม้ส่วนตัวตนเองจะสนิทสนมกับประธานบริษัท เจ เอส แอล เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่อยากให้เรื่องบานปลาย จึงไม่ได้เอาเรื่องในเรื่องนี้ แต่อยากให้เรื่องนี้ได้รับการแก้ไขปัญหาโดยเร็วทาง เจ เอส แอล ต้องรีบถอนตัวไป

"งานนี้ลงทุน 200 กว่าล้าน แต่กลับจัดงานเหมือนงานวัด ส่วนเงินที่เบิกจ่ายไปแล้ว 4 งวด จำนวนเงิน 80 ล้านบาท ก็จะหักลบออกไปแค่นั้น ส่วนเงินที่เหลือหรือยังเบิกจ่ายไม่หมดก็จะแขวนไว้ก่อนทางกระทรวงฯ จะเป็นผู้ดูแลเอง" รมว.ทส. กล่าว

นายยงยุทธ กล่าวว่า ในวันที่ 28 เมษายนนี้ จะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อไปตรวจสอบดูงานอีกครั้ง แต่เบื้องต้นก็ไม่ได้จะถอนบริษัท เจ เอส แอล ออกไป แต่จะต้องมีการแก้ไขในหลายๆ ส่วนร่วมกัน เช่น จะดึงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การบินไทย หรือ นักออกแบบ Creative มาช่วยกันออกแบบ ซึ่งทั้งหมดทางกระทรวงทรัพยากร ที่มีตนเป็นรัฐมนตรีจะดูในภาพรวม

เมื่อเวลา 17.00 น.ภายหลังนางจำนรรค์ ศิริตัน ประธานกรรมการบริษัท เจ เอส แอล จำกัด กล่าวภายหลังเข้าพบกับนายยงยุทธ ติยะไพรัช รมว. ทส. นานกว่า 2 ชั่วโมง ที่กระทรวงฯ นั้น ยืนยันว่าทางรัฐมนตรียงยุทธ ยังคงให้บริษัท เจ เอส แอล เป็น Organizer หลักของงานนี้อยู่ ไม่ได้ยกเลิกสัญญาหรือแขวนงบประมาณที่เหลืออีกกว่า 100 ล้านบาท เพียงแค่เรียกมาคุยหาความร่วมมือร่วมกันในการปรับปรุงงานให้ดีขึ้น ซึ่งในวันที่ 28 เมษายนนี้จะนำเสนอแผนเพิ่มเติมว่ามีอะไรบ้าง

"เป็นโชคดีของประเทศไทยมากกว่า ที่สามารถเปิดโชว์ได้ทัน ถามว่าสมบูรณ์หรือยัง ก็คิดดูมีเวลาแค่ 1 เดือน งบก่อสร้างก็แค่ 180 ล้าน ไหนต้องจ่ายค่าการจัดการต่างๆ อีกมากมาย จะเป็นความผิดพลาดของใครก็คิดดูเองก็แล้วกัน" ประธานบริษัท เจ เอส แอล จำกัด กล่าว

"ยงยุทธ" พลิ้วไม่กล้าหัก

ด้านนายยงยุทธ กล่าวร่วมกับประธาน บริษัท เจ เอส แอล จำกัด ว่าเมื่อได้หารือร่วมกันแล้วก็ได้สั่งการให้ไปปรับปรุงตามข้อคิดเห็นให้ดีขึ้น แล้วนำกลับมาเสนอใหม่ภายในวันที่ 28 เมษายนนี้ โดยจะไม่ยกเลิกสัญญาแต่อย่างใด แต่จะให้มีคณะกรรมการชุดใหม่ที่มีนายชาตรี ช่วยประสิทธิ อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ตรวจรับงานแทนคณะกรรมการชุดเก่าที่รับงานในครั้งแรก

"ถามว่างบประมาณและเวลาในการดำเนินงานไม่พอในการดำเนินการตามที่บริษัท เจ เอส แอล อ้าง ตนเชื่อว่า คงไม่ใช่สาเหตุสำคัญ แต่สาเหตุสำคัญคือ ปัญหาการบริหารจัดการมากกว่า ในการออกแบบให้ดูดีดึงดูดผู้ร่วมเข้าชม" รมว.ทส.กล่าว

เจเอสแอลอ้างงบน้อย-เวลาจำกัด

นางจำนรรค์ ศิริตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอส แอล จำกัด แถลงข่าวอย่างเป็นทางการถึงข้อเท็จจริง กรณีการดำเนินการจัดนิทรรศการและบริหารจัดการ "ศาลาไทย" ในงาน World EXPO 2005 ที่จัดขึ้นที่เมืองไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม - วันที่ 25 กันยายน 2548 ว่า บริษัทได้งบประมาณเป็นผู้ดำเนินการจัดนิทรรศการดังกล่าวจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วงเงิน 200 ล้านบาท ไม่ใช่ 300 ล้านบาท อย่างที่เป็นข่าว ซึ่งถ้าหักภาษีมูลค่าเพิ่มออกไป บริษัทจะเหลือเงินที่ได้จริงเพียง 186.92 ล้านบาท จากที่บริษัทเสนอประมูลไปที่วงเงิน 251.95 ล้านบาท แต่ได้ถูกต่อรองและขอร้องให้ทำเพื่อประเทศชาติ ซึ่งขณะนั้นมีความหวังว่าจะขอ ครม.เพื่ออนุมัติงบเพิ่มเติมในคราวหลัง

โดย เจ เอส แอล ได้เซ็นสัญญาจัดจ้างกับกระทรวงทรัพยากรฯ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2547 แล้วส่งแบบก่อสร้าง "ศาลาไทย" เพื่อให้ EXPO Committee พิจารณาอนุมัติ เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2548 โดยทำงานร่วมกับบริษัท โนมูระ ประเทศญี่ปุ่น และบริษัทชั้นนำ มืออาชีพเรื่องจัดนิทรรศการ

แต่ปัญหาเพราะเวลาที่ใช้ก่อสร้างมีเพียง 30 วัน ในพื้นที่ 3 โมดู หรือกว่า 1 พันตารางเมตร และงบประมาณมีจำกัด จากวันที่บริษัท โนมูระได้รับอนุมัติ จาก EXPO Committee และกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 48 ใช้เวลาขนส่งอุปกรณ์ในการก่อสร้างทางเรือ 15 วัน เหลือเวลาก่อสร้าง 30 วัน ให้เสร็จภายในวันที่ 15 มีนาคม 48 เพราะเป็นวันแถลงข่าวกับสื่อมวลชน ส่งผลให้งานที่ออกมาอาจไม่สมบูรณ์เท่ากับที่นำเสนอไว้ โดยยอมรับว่าทำได้จริงเพียง 70-80% แต่ก็ไม่ได้ขาดเนื้อหาในการนำเสนอจากวัตถุประสงค์ของผู้จัดงานคือประเทศญี่ปุ่นที่ให้ไว้คือ ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในศตวรรษที่ 21 ภายใต้หัวข้อ "Art of Life"

การชี้แจงครั้งนี้เจเอสแอลได้เปรียบเทียบระยะเวลา และงบประมาณดำเนินงานของประเทศต่างๆ เช่น ออสเตรเลีย ซึ่งใช้พื้นที่ 3 โมดู (module) ใช้เวลาก่อสร้าง 3 เดือน งบประมาณ 1,067 ล้านบาท อินโดนีเซีย 1 โมดู ระยะเวลาก่อสร้าง 1 ปี ใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท ขณะที่ประเทศ ลาว กัมพูชา เวียดนาม ได้งบสนับสนุนจากผู้จัดงานของบอีก 20 ล้านบาทเพิ่มสีสัน

ดังนั้นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นมากกว่าที่ประเมินไว้ คือการจ่ายค่าล่วงเวลาให้กับคนงานก่อสร้าง เพราะต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ในเรตค่าแรงงานญี่ปุ่น วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องเปลี่ยนสเปก ใช้วัสดุทนไฟ ทนแผ่นดินไหว ราคาแพงมาก ถึงขณะนี้บริษัทต้องจ่ายเงินถึง 280 ล้านบาท ซึ่งบริษัทก็พยายามเพิ่มเติมสีสัน ลวดลาย และกิจกรรมต่างๆ เท่าที่ทำได้เข้าไป โดยใช้เวลาช่วงปิดงาน คือ หลัง 4 ทุ่ม จนถึง 9 โมงเช้า เช่น เรื่องตกแต่งเอกลักษณ์ไทย ลดเนื้อหาเชิงวิชาการ และเพิ่มรูปธรรมในวิธีการนำเสนอให้มากขึ้น และอื่นๆ คาดว่าต้องใช้งบประมาณอีก 20 ล้านบาท ซึ่งได้นำเสนอไปยังกรมส่งเสริมฯ และกระทรวงทรัพยากรฯแล้ว แต่หากไม่ได้งบ บริษัทคงทำได้เพียง เพิ่มลวดลายไทย และกิจกรรมระหว่างการจัดงานเท่านั้น เพราะงานนี้บริษัทขาดทุนกว่า 100 ล้านบาท

หาสปอนเซอร์ยากติดเงื่อนไขเอ็กซ์โป

นางจำนรรค์ กล่าวว่า สำหรับผู้สนับสนุนการจัดงาน ซึ่งมีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 8 ล้านบาท ซึ่งได้ใช้ในการตกแต่งห้องด้านการท่องเที่ยว มีเรือสุพรรณหงส์ซึ่งต้องรอให้จบงานก่อนจึงได้รับเงิน ส่วนบริษัทบุญรอดให้เงินสนับสนุน 2.5 ล้านบาท ใช้ในเรื่องของโรงแรมที่พัก และอาหารการกินของเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าบูท ส่วนการบินไทยให้ส่วนลดตั๋วเครื่องบิน และบราเตอร์ในเรื่องของอาหารให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ทั้งนี้การหาเอกชนสนับสนุนเป็นไปลำบากเพราะตามกฎของงานเอ็กซ์โปจะไม่ให้มีการโฆษณา ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครสนใจเข้ามาสนับสนุน ขณะเดียวกันในส่วนของสินค้า OTOP ก็ยังจัดจำหน่ายไม่ได้

"ความเสียหายครั้งนี้มีผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทปีนี้แน่นอน ถือเป็นบทเรียนให้บริษัทต้องพิจารณาการรับงานจากหน่วยงานรัฐบาลให้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของระยะเวลาและงบประมาณ เพราะเมื่อเกิดเรื่องขึ้น ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของบริษัท ทำให้สถาบันการเงินที่เป็นแหล่งเงินของบริษัทก็ขาดความมั่นใจไปด้วย"


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.