ยุทธภูมิการค้า

โดย Marc Perton
นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2537)



กลับสู่หน้าหลัก

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัท American Computer Giant Unisys Corp ได้ประกาศที่จะย้าย สำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาค เอเชีย-แปซิฟิค จากฮ่องกงไปที่สิงคโปร์

ความจริงแล้ว บริษัทระดับนานาชาติต่างก็มีความคิดในการย้ายบริษัทออกจากฮ่องกงเช่นกัน เพราะค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าแรงและที่ดินมีราคาที่อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีราคาที่สูงที่สุด นอกจากนี้สถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่น่าวางใจนัก หลังจากที่ต้องกลับไปอยู่ภายใต้การปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ อีกครั้ง แต่ที่ทำให้ Unisys ตกเป็นข่าวคึกโครม ก็เพราะว่า Unisys เป็นบริษัทระดับยักษ์ใหญ่บริษัทแรก ที่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ

ในขณะที่ Rick Clements โฆษกบริษัท Singapore Airlines ตัดสินใจที่จะย้าย ส่วนปฏิบัติการบางส่วนของแผนกบัญชี จากสิงคโปร์ไปที่ประเทศจีน เพราะว่าได้ฝึกงานให้กับพนักงานบัญชีที่ในเมืองจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในต้นปีที่ผ่านมาบริษัทนี้ยังได้ก่อตั้งส่วนพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ บอมเบย์ เพราะโปรแกรมเมอร์หาได้ไม่ยากในอินเดีย นอกจากนี้ค่าจ้างยังต่ำกว่าอีกด้วย

"เรามีความสนใจที่จะย้ายฝ่ายอื่น ๆ อีกถ้าเป็นไปได้" เขากล่าว

ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียกำลังมีการเติบโตอย่างมาก สิ่งหนึ่งที่ยังเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดของผู้บริหารก็คือความพยายามที่จะลดต้นทุนในการดำเนินงานทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการย้ายสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาค หรือย้ายฝ่ายปฏิบัติการ

ค่าใช้จ่ายในเรื่องอสังหาริมทรัพย์อัตราภาษีและแรงงาน คือค่าใช้จ่ายพื้นฐานที่สำคัญที่สุดที่ต้องคำนึงถึงเพื่อที่จะประเมินความเป็นไปได้ในการย้ายบริษัท โครงสร้างพื้นฐาน คุณภาพชีวิตของคนในประเทศและสถานการณ์การเมือง ต่างก็เป็นปัจจัยทางตรงและทางอ้อมที่ละเลยไม่ได้ ค่าใช้จ่ายในการย้ายที่ตั้ง และค่าใช้จ่ายในเรื่องของกฎหมาย ก็เป็นอีกค่าใช้จ่ายหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ

บ่อยครั้งที่ราคาที่ดินจะเป็นเหตุทำให้ผู้บริหารชะงักการตัดสินใจในการย้ายที่ตั้งบริษัท แต่ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกลับเห็นว่าเรื่องราคาที่ดินไม่น่าที่จะเป็นเงื่อนไขอันดับแรกที่จะคำนึงถึง

"ราคาที่ดินไม่น่าที่จะเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ" Christopher Thrift ผู้อำนวยการบริษัท Richard Eills สาขาฮ่องกง กล่าว

"ฮ่องกงเป็นทางเลือกที่ดีของบริษัทที่ต้องการทำตลาดกับประเทศจีน เช่นเดียวกับ คุณไม่ต้องการที่จะบริการลูกค้าของคุณในอินเดียหรือฟิลิปปินส์ จากสำนักงานของคุณที่ตั้งอยู่ในฮ่องกง" เขากล่าว

แต่อย่างไรก็ตาม ราคาที่ดิน เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของการขยายบริษัท ทางเลือกหนึ่งที่บริษัทอาจจะทำได้ก็คือการเลือกบริเวณที่ตั้งที่ไม่ใช่กลางเมือง การกระจายอำนาจโดยการย้ายฝ่ายปฏิบัติงานสำนักงาน ไปในที่ที่มีราคาที่ดินถูกกว่า หรือแม้กระทั่งไปในประเทศอื่น อย่างเช่นกรณีของบริษัท Singapore Airlines

Bob Broadfoot แห่งบริษัท Hong Kong's Political and Economic Risk Consultancy แนะนำว่า เราควรที่จะเลือกคำนึงถึงเขตแดนทางด้านภูมิศาสตร์ หรือเขตแดนระหว่างประเทศ ถ้าหากเราจะพิจารณาถึงที่ที่ดีที่สุดในการที่จะไปตั้งแผนกของแต่ละบริษัท

"ถ้าผมอยู่ในฝ่ายวิจัยหรือพัฒนาบริษัท ผมอาจจะแนะนำว่า Australia หรือ Dublin เพราะเป็นที่ที่สามารถพนักงานที่มีความสามารถ ในราคาที่ถูก" เขากล่าว

เรื่องอัตราภาษีก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง ตัวอย่าง เช่น ฮ่องกงมีภาษีที่ดิน หรือภาษีที่เกิดจากการขายหุ้นภาษีที่เกิดจากการทำกำไรของบริษัท เป็นอัตราคงที่ 17.5 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่สิงคโปร์ มีอัตราภาษีบริษัท 30 เปอร์เซ็นต์

แม้ว่าอัตราภาษีในสิงคโปร์จะสูงแต่อัตราภาษีที่ออสเตรเลียกลับสูงกว่า ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้บริษัทต่างประเทศหลายแห่งไม่สนใจที่จะตั้งบริษัทในออสเตรเลีย

อัตราภาษีอากรในออสเตรเลียคือ 33 เปอร์เซ็นต์ โดยคิดจากรายได้ที่เกิดขึ้นทั้งในออสเตรเลียและในต่างประเทศ ในขณะที่ประเทศอื่นเช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และฮ่องกง จะคิดภาษีเฉพาะที่เกิดขึ้นในประเทศเท่านั้น

รัฐบาลของแต่ละประเทศอาจจะเสนอช่วงปลอดภาษีให้กับบริษัทต่างชาติเพื่อเพิ่มการลงทุน แต่ก็มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกของบริษัทที่มาลงทุนนอกจากนี้บริษัทที่จะได้รับสิทธิพิเศษนี้ก็จะต้องเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลของแต่ละประเทศนั้นต้องการตัวอย่างเช่นบริษัทพัฒนาซอฟแวร์ คอมพิวเตอร์เล็ก ๆ ก็จะไม่ได้รับการสนใจจากรัฐบาลไทย ในขณะที่รัฐบาลสิงคโปร์นั้นยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง

อัตราภาษีส่วนบุคคลก็เป็นปัจจัยที่ควรตระหนักถึง ตัวอย่างเช่นพนักงานที่ต้องเสียภาษีเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ในฮ่องกงย่อมต้องการเงินเดือนที่สูงถึง 2 เท่า เมื่อเขาต้องมาทำงานในไทย หรือสิงคโปร์

"หลายบริษัทมักจะคิดว่าเขาสามารถที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้โดยการจ่ายเงินเดือนนอกประเทศ แม้ว่าคุณจะทำได้แต่นั้นก็เป็นการเลี่ยงภาษี และถ้าคุณต้องการที่จะลงทุนในประเทศใดประเทศหนึ่ง สิ่ง ที่คุณต้องการทำเป็นสิ่งสุดท้ายก็คือการถูกขับออกนอกประเทศ เพราะการเลี่ยงภาษี" นักกฎหมายชาวอเมริกันที่ทำงานในประเทศไทย กล่าว

ค่าแรงเป็นเรื่องหลักที่ต้องคำนึงถึงในการย้ายบริษัท การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเหตุที่ทำให้เกิดการขาดแคลนบุคลากร ทั่วทั้งภูมิภาคเอเซีย ผลที่ตามมาก็คืออัตราเงินเดือนที่สูงขึ้น และอัตราการการเปลี่ยนงานที่สูงขึ้น

ในฮ่องกงมีอัตราเงินเฟ้อประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่อัตราการว่างงานมีเพียง 1.9 เปอร์เซ็นต์ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการเฟ้อของเงินเดือนพนักงาน เพราะผู้ว่าจ้างจะต้องมีจ่ายเงินเดือนพนักงานสูงขึ้นประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ในทุกปีหรือมากกว่านั้น ตัวอย่างเช่น พนักงานเลขานุการในฮ่องกงจะมีเงินเดือนที่สูงกว่าผู้บริหารระดับกลางในกรุงเทพฯ

แต่ในประเทศที่มีค่าจ้างต่ำมักจะมีแรงผลักดันในเรื่องของแรงงาน ในประเทศไทย และอินโดนีเซีย นับว่าเป็นการไม่ง่ายเลยที่จะหาพนักงานที่สามารถพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษาจึงต้องการค่าจ้างที่สูงประมาณ 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ฯ ต่อเดือนหรือมากกว่านั้น ในขณะที่ผู้ที่พูดได้ภาษาเดียวก็จะทำงานให้กับบริษัทในประเทศด้วยค่าจ้าง 400 ดอลล่าร์สหรัฐ ฯ ต่อเดือน

มีข้อยกเว้นก็คือที่ ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการว่างงานสูง ค่าจ้างต่ำ และมีความรู้ในเรื่องของภาษาอังกฤษสูง เรียกได้ว่าเป็นตลาดของผู้จ้าง

บทเรียนหนึ่งของผู้บริหารก็คือการศึกษาถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบในทุกประเทศที่จะย้ายที่ตั้งบริษัทไป แม้ว่าจะใช้เวลาไม่น้อยแต่ย่อมจะดีกว่าการรีบตัดสินใจ ซึ่งจะนำมาซึ่งต้นทุนของบริษัทในอีกหลาย ๆ ปีของการดำเนินงาน


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.