สคิบลดพอร์ตสช.รายใหญ่


ผู้จัดการรายวัน(18 เมษายน 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

นครหลวงไทย วางกลยุทธ์ระยะยาว ตั้งเป้า 5 ปีปรับลดสัดส่วนสินเชื่อรายใหญ่จาก 52% เหลือ 40% ของสินเชื่อรวม หวังทยอย เพิ่มสัดส่วนสินเชื่อรายย่อย-กลาง เพื่อลดความเสี่ยงที่ลูกค้ารายใหญ่มีอำนาจต่อรองสูงและผลตอบแทนต่ำ ผู้บริหารมั่นใจคงพอร์ตสินเชื่อรวมไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท ด้านบล. สินเอเซีย แนะซื้อ คงราคาเป้าหมายไว้ที่ 29 บาท

นายอรุณ จิรชวาลา กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในระยะยาว 5 ปี ว่า ธนาคารมีนโยบายจะปรับสัดส่วน การปล่อยสินเชื่อใหม่ด้วยการทยอยเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนประมาณ 12% ของสินเชื่อรวมทั้งหมดเป็น 20% เพิ่มสัดส่วนสินเชื่อขนาดกลางจาก 36% เป็น 40% ขณะที่ปรับลดสินเชื่อรายใหญ่จาก 52% เหลือ 40%

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากธนาคารมองว่าในระยะยาวสินเชื่อขนาดกลางและสินเชื่อรายย่อยจะมีความมั่นคงมากกว่า ในขณะที่สินเชื่อรายใหญ่มีอำนาจ ต่อรองสูง ผลตอบแทนต่ำ และสามารถเปลี่ยนธนาคารง่าย รวมทั้งบาง ครั้งลูกค้ารายใหญ่ยังสามารถปรับแผน ไประดมทุนในตลาดทุน หรือตลาดตราสารหนี้แทนการขอสินเชื่อจากธนาคาร "แม้ว่าธนาคารจะปรับลดพอร์ตสินเชื่อรายใหญ่ลง แต่เป้าหมายการปล่อยสินเชื่อของธนาคารคาดว่าจะสามารถอยู่ในระดับ 4-6 หมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน"

สำหรับตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) นั้น ไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมากนัก โดยคาดว่าเอ็นพีแอลจะเพิ่มขึ้น จากสิ้นปี 2547 อยู่ที่ระดับ 10,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 8,400 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการปรับเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขณะที่ในปีนี้ตัวเลขเอ็นพีแอลน่าจะลดลง จากการที่มีการคืนหนี้มาแล้วบางส่วน ซึ่งสอดคล้องกับหนี้เอ็นพีแอลทั้งระบบ ที่คาดว่าจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจากนโยบายของธปท.

ส่วนแผนการขยายธุรกิจในพื้นที่ภาคใต้ นั้น นายอรุณ กล่าวว่า ธนาคารได้มีการชะลอโครงการใหม่ๆ ไว้ก่อน หลังจากเกิดเหตุการณ์วางระเบิดที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากจะต้องรอดูสถานการณ์ก่อนว่าจะส่ง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างไร รวมทั้งธนาคารจะนำปัจจัยอื่นๆ มาประกอบการ พิจารณาด้วย อาทิ ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย ซึ่งธนาคารได้มีการประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา แต่เชื่อว่าการปล่อยสินเชื่อของธนาคารจะยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

ด้านภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศนั้น ธนาคารได้ประเมินว่าเศรษฐกิจในภาพรวมจะขยายตัวที่ 5-5.5% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 5-6% แต่การปล่อยสินเชื่อของธนาคารจะไม่มีการปรับเปลี่ยน มากนัก แม้ว่าการปล่อยสินเชื่อภาคเอกชนอาจจะไม่เติบโตอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่ยังมีสินเชื่อภาครัฐ (เมกะโปรเจกต์) จากโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค ต่างๆ ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะขยายสินเชื่อให้โครงการภาครัฐได้มากขึ้น

ด้านบริษัทหลักทรัพย์สินเอเซีย จำกัด ประเมินฐานะการดำเนินงานของ SCIB ว่า ในปี 2549 ธนาคารจะต้องมีภาระเพิ่มขึ้นจากการจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิลดลง ขณะที่นโยบาย อัตราจ่ายเงินปันผลคงที่ 40-50% จะทำให้อัตรา การจ่ายเงินปันผลลดลงตามไปด้วย แต่อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนและเงินกองทุนขั้นที่ 1 ที่อยู่ในระดับสูงเท่ากับธนาคารเอกชนขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงยังคงแนะนำให้ซื้อ โดยราคาเป้าหมายอยู่ที่หุ้นละ 29 บาท ระดับพี/อี เรโช ที่ 11.22 เท่า และ P/BV 1.60 เท่า

สำหรับความเคลื่อนไหวราคาหุ้น SCIB ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2548 ที่ผ่านมา ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า โดยมีราคาต่ำสุดที่ 25.25 บาท ก่อนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสูงสุดและปิดที่ 25.75 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 0.50 บาท หรือ 1.98% มูลค่าการซื้อขายรวม 65.86 ล้านบาท


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.