ทายาท HP ค้านควบ Compaq เปิดศึกใหญ่งัดข้อฝ่ายบริหาร


นิตยสารผู้จัดการ( มิถุนายน 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

ทายาทผู้ก่อตั้งบริษัท เปิดศึกทางกฎหมายค้านทีมผู้บริหารบริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด ที่วางโครงการเสร็จสรรพ นำบริษัทไปรวมตัวกับคอมพิวเตอร์คอมแพค อ้างเพื่อรับมือกับ การแข่งขันในตลาดคอมพิวเตอร์ และสร้างบริษัทใหม่ที่แข็งแกร่ง ทำความไม่พอใจให้ นายวอลเตอร์ ฮิวเลตต์ หลานปู่ผู้ก่อตั้งบริษัท ซึ่งตอนนี้มีฐานะเป็นเพียงผู้ถือหุ้นใหญ่ และผู้อำนวยการคนหนึ่ง ไม่มีสิทธิมีเสียงมากในการบริหารบริษัท

เมื่อไม่สามารถทนดูความภาคภูมิใจของบรรพบุรุษและตระกูล ถูกทีมคนภายนอกนำไปแปลงรูป และปิดตำนานฮิวเลตต์ แพคการ์ด วอลเตอร์พยายามปลด CEO คนปัจจุบัน แต่ทีมงานบริหาร กลุ่มลูกจ้างเงินเดือนสูง ได้ยึดบริษัทและทีมคณะกรรมการผู้อำนวยการ รวมถึงผู้ถือหุ้นกลุ่มอื่นไว้อย่างแข็งแกร่ง และยังเปิดศึกประณามทายาทฮิวเลตต์ ซึ่งๆ หน้าทางเว็บไซต์ของบริษัท HP เอง

วอลเตอร์จึงต้องยื่นฟ้องร้องต่อศาล ศึกครั้งนี้คงยาวนาน และจะสร้างความคลอนแคลนให้ราคาหุ้นของฮิวเลตต์ แพคการ์ด และคอมแพค รวมถึงอาจเป็นช่องทางให้พีซีคอมพิวเตอร์ คู่แข่งฉวยจังหวะยุ่งๆ นี้ โหมหนักทางการตลาดและแย่งชิงส่วนแบ่งมาก ขึ้น ท้ายสุดเป็นไปได้ว่าการรวมตัวที่ทีมบริหารของฮิวเลตต์ แพคการ์ด มุ่งหวังอย่างยิ่งนี้อาจไม่เป็นผลสำเร็จ ฝ่ายดำเนินการ อ้างรวมเพื่อเป็นหนึ่ง

การประกาศรวมตัวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2001 จาก สำนักงานใหญ่ของฮิวเลตต์ แพคการ์ด ที่เมืองพาโล อัลโท แคลิ ฟอร์เนีย และสำนักงานใหญ่ของคอมแพคที่เมือง Houston เท็กซัส เพื่อความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีโลก ด้วยมูลค่าบริษัทรวมกัน 87 ล้านดอลลาร์ และนำเสนอผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ครบชุด ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในด้านเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์, พีซีคอมพิวเตอร์, คอมพิวเตอร์มือถือ, ระบบการพิมพ์และรูปภาพ, ซอฟต์แวร์ด้านบริหาร, จัดเก็บ และบริการสารสนเทศ

ทั้งนี้บริษัทใหม่เรียกในการแถลงข่าวของ HP ว่าเป็น new HP จะมีสินทรัพย์ 56.4 พันล้าน มีรายได้ต่อปี 87.4 พันล้าน และ มีกำไรจากการดำเนินงานต่อปี 3.9 พันล้าน มีสาขาในมากกว่า 160 ประเทศ และมีลูกจ้างกว่า 145,000 คน

คาร์ลี ฟิโอริน่า ประธานกรรมการ (Chairman) และหัวหน้าสำนักงานผู้บริหาร หรือ CEO ของ HP จะดำรงตำแหน่งเดียวกัน ส่วนไมเคิล คาเพลลาจ Chairman และ CEO ของคอมแพค จะดำรงตำแหน่งประธานบริษัท หรือ president และจะเข้าร่วมในคณะกรรมการของ HP พร้อมกับสมาชิกคณะกรรมการอำนวยการเดิมของคอมแพคอีกสี่คน

ภายใต้ข้อสัญญาที่ตกลงรวมกัน ผู้ถือหุ้นของคอมแพคหนึ่งหุ้น จะได้รับหุ้นของ HP ที่จะออกใหม่ 0.6325 หุ้น และผู้ถือ หุ้นเดิมของ HP จะถือหุ้นบริษัทใหม่ 64% ส่วนผู้ถือหุ้นของคอมแพค จะถือหุ้นบริษัทใหม่ 36%

สิทธิ เสียงที่เคยมีมากตามเปอร์เซ็นต์ของหุ้นที่ถือ สำหรับ ผู้ถือหุ้นเก่า จะมีน้อยลงในทันที และผลกระทบนี้จะส่งผลมากที่สุด กับพวกทายาทบริษัท ซึ่งมีหุ้นมาก แต่ไม่มีบทบาทในการบริหาร ที่ผ่านมายังมีเสียงมากในการคุมอำนาจตัดสินใจ

วอล์เตอร์ ฮิวเลตต์ อ้างว่าการรวมบริษัทจะทำให้บริษัท เสื่อมถอยในการเป็นผู้นำด้านเครื่องพิมพ์และเครื่องผลิตภาพ แต่ต้องไปสู้กับตลาดเทคโนโลยีต่ำของพีซีคอมพิวเตอร์ ที่มีการแข่งขัน สูงมาก

ทีมบริหารของ HP บอกว่า บริษัทใหม่นี้จะใช้สำนักงานของ HP เป็นสำนักงานใหญ่ ส่วนสำนักงานของคอมแพคจะใช้เป็นสำนักงานพัฒนาผลิตภัณฑ์และวิศวการ นอกจากนั้นยังมีการปรับ โครงสร้างการบริหารโดยสำนักงานใหม่ จะมีหน่วยดำเนินงาน สี่หน่วย คือ

‘ หน่วย Imaging and Printing franchise ฝ่ายแฟรนไชส์ด้านภาพและการพิมพ์ จะบริหารโดยประธานในแผนกระบบด้านภาพและการพิมพ์คนปัจจุบันของ HP หน่วยงานนี้มีวงเงินรายได้ 20 พันล้านดอลลาร์ต่อปี

‘ หน่วยงานธุรกิจอุปกรณ์เชื่อมถึง หรือ Access Devices business มูลค่า 29 พันล้านดอลลาร์ จะควบคุมโดยประธานฝ่าย ระบบคอมพิวติ้ง คนปัจจุบันของ HP

‘ หน่วยงาน IT Infrastructure business วงเงินรายได้ 23 พันล้านต่อปี ทำหน้าที่จำหน่ายอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ จัดเก็บข้อมูล และซอฟต์แวร์ จะดูแลโดย รองประธานฝ่ายบริหารด้านการขายและบริการคนปัจจุบันของคอมแพค

‘ ฝ่ายธุรกิจบริการ วงเงินรายได้ 15 พันล้านต่อปี มีลูกจ้าง 65,000 คน จะดำเนินงานด้านการปรึกษา สนับสนุน และติดต่อประสานงาน นำทีมโดยประธานฝ่ายบริการของ HP คนปัจจุบัน

‘ ในด้านฝ่ายการเงินนั้น จะนำโดยหัวหน้าสำนักงานการเงินของ HP ส่วนทีมผสมจะนำโดยประธานองค์กรลูกค้าธุรกิจของ HP กับหัวหน้าสำนักงานการเงินของคอมแพค

ก่อนการรวมตัวนั้น HP มีรายได้รวมในปี 2000 เป็นเงิน 48.8 พันล้าน และเป็นผู้นำด้านโซลูชั่นคอมพิวติ้ง และภาพคอมพิว เตอร์ ส่วนคอมแพค เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและโซลูชั่น ธุรกิจทั้ง ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั้งตั้งโต๊ะและเคลื่อนที่ ขายมากกว่าใน 200 ประเทศ

ฮิวเลตต์ แพคการ์ด ปีล่าสุด อยู่ในอันดับที่ 28 ของ 500 บริษัทใหญ่ในอเมริกา จัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์จูน และอยู่ในอันดับ 56 ของ 500 บริษัทใหญ่ทั่วทั้งโลก หรือ Global 500 และ เป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่อันดับสอง รองจากไอบีเอ็ม

ส่วนคอมแพคนั้น เคยอยู่ในอันดับที่ 27 ในปี 2001 และตกมาอยู่ที่อันดับ 46 ในปี 2002 สำหรับตาราง 500 บริษัทใหญ่ในอเมริกา โดยมีรายได้ และผลกำไร ตกเป็นกราฟดิ่ง สำหรับปีที่ผ่านมา คอมแพคมีรายได้รวม 33.55 พันล้าน และอยู่ในอันดับสามในการจัดอันดับคอมพิวเตอร์ โดยอันดับสี่ที่ตามมาคือ เดลล์ คอมพิวเตอร์ ส่วนอันดับ 500 บริษัทใหญ่ทั่วโลกนั้น คอมแพคอยู่ในอันดับที่ 79

เนื่องจากการรวมตัวครั้งนี้ เป็นผลดีกับฝ่ายคอมแพค ซึ่งเป็นบริษัทเล็กกว่าทั้งหมด การเห็นพ้องของฝ่ายคอมแพคจึง เป็นไปด้วยความราบรื่น และกลับไม่มีการโปรโมต หรือพูดถึงการรวมบริษัทมากนักในทางคอมแพคเอง ขณะที่ HP นั้นถือเป็นภาระสำคัญที่ต้องทำให้การรวมตัวเกิดขึ้นให้ได้ โดยจะมีการกระพือข่าวทางเว็บไม่เว้นวัน และเมื่อผู้บริหารไปพูดที่ใด ก็จะยกเรื่องนี้ไปพูดเสมอ

คาร์ลี ฟิโอริน่า ซีอีโอของบริษัทซึ่งเข้าทำงานกับคอมแพค เมื่อสองปีครึ่งที่ผ่านมา อ้างว่า บริษัทต้องรวมตัวเพื่อให้สามารถเป็นที่หนึ่ง ในตลาดระบบเปิดของเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างระบบปฏิบัติการ ที่สามารถทำงานร่วมกันได้ระหว่างยูนิกซ์, วินโดว์ เอ็นที และลีนุกซ์

คาร์ลีบอกว่า HP ค่อนข้างล่าช้าในเรื่องตลาดเครือข่ายคอม พิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต ขณะเดียวกัน ก็มีรายได้หลักเป็นระบบภาพถ่ายและการพิมพ์มากเกินไป บริษัทจำเป็นต้องสร้างผลกำไรให้เท่าเทียมในด้านคอมพิวติ้งของกิจการ ซึ่งการเพิ่มความแข็งแกร่งด้านการจัดการเครือข่าย เซิร์ฟเวอร์ เครื่องเก็บ และคำนวณข้อมูล ยังช่วยให้บริษัทรักษาการเติบโตในด้านระบบภาพถ่ายและการพิมพ์ระดับใหม่คือ ภาพถ่ายและการพิมพ์ดิจิตอล

ที่ผ่านมา HP ได้พยายามสร้างเครื่องที่สนับสนุนระบบปฏิบัติการหลักทั้งสามแบบ เพราะลูกค้าใช้ระบบปฏิบัติการ ทั้งหมด และคาดหวังให้ผู้จัดหาโซลูชั่นแบบรวดเดียว หรือ end- to-end solutions สนองความต้องการทั้งหมดได้

ที่ผ่านมา HP แข็งแกร่งในตลาดเครื่องที่ใช้กับระบบปฏิบัติ การยูนิกซ์ โดยเคียงคู่กับซัน คอมพิวเตอร์ ในอันดับหนึ่ง แต่ตลาด ยูนิกซ์ ซึ่งเป็นหัวใจของศูนย์ข้อมูล โตเพียง 5-7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ตลาดเครือข่ายเครื่องที่ใช้วินโดว์ โต 20 เปอร์เซ็นต์ และเครือข่าย เครื่องที่ใช้ลีนุกซ์โตขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ HP กลับสูญเสียรายได้ ในตลาดนี้ โดยมีส่วนแบ่งตลาดวินโดว์เพียง 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนตลาดลีนุกซ์นั้น HP มีความคืบหน้า แต่ก็ยังจำเป็นต้องปรับเร็วขึ้นกว่าเดิม

ธุรกิจพีซีเป็นข้อที่เข้าใจกันได้ที่สุดในการรวมบริษัทครั้งนี้ พีซีเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่สุดในตลาดลูกค้าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ธุรกิจระบบการพิมพ์และภาพถ่ายที่เป็นธุรกิจหลักของ HP ยังต้อง อาศัยพึ่งพิงธุรกิจพีซีให้เติบโตง่ายขึ้น และพัฒนาเร็วขึ้น ที่ผ่านมาตลาดพีซีในกลุ่มผู้บริโภคของ HP นั้น ประสบความสำเร็จ แต่ HP ยังล้าหลังในธุรกิจพีซีคอมเมอร์เชียล ซึ่งเดลล์สามารถประสบความสำเร็จได้ดีกว่า โดยเฉพาะในการขายตรง

คาร์ลีตัน หรือคาร์ลี่ ฟิโอริน่า ดำรงตำแหน่งเป็นหนึ่งในแปดของคณะกรรมการอำนวยการบริษัท ร่วมกับวอลเตอร์ แพคการ์ดด้วย เธอเข้าร่วมทำงานกับ HP ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 1999

ก่อนหน้าทำงานกับ HP ฟิโอริน่ามีประสบการณ์เกือบ 20 ปี ที่เอทีแอนด์ที และลูเซ่นต์ เทคโนโลยี่ โดยทำหน้าที่ในตำแหน่งอาวุโสด้านการขายและการตลาด ที่ลูเซ่นต์ เธอเป็นประธานฝ่ายธุรกิจเสนอบริการโลก ดูแลธุรกิจด้านนานาชาติ

ฟิโอริน่ามีปริญญาตรีสาขาประวัติศาสตร์และปรัชญายุคหินกลาง จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ปริญญาโท ด้านการบริหารจากโรงเรียนธุรกิจโรเบิร์ต เอช สมิธ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแมรี่แลนด์ เมืองคอลเลจ ปาร์ค และปริญญาโทด้านศาสตร์การจัดการจากโรงเรียนสโลน แห่งสถาบันเทคโนโลยีเอ็มไอที ปัจจุบัน เธอเป็นกรรมการของบริษัทซิสโก้ ซิสเต็มส์ ด้วย

ทายาทฮิวเลตต์ สู้เพื่อตระกูล

ต่อมาในวันที่ 2 มีนาคม ไฟแนนเชี่ยล ไทม์ ได้รายงานว่า วอลเตอร์ ฮิวเลตต์ ได้ใช้อำนาจในฐานะ "ผู้อำนวยการ" แต่งตั้งอดีตซีอีโอคนเก่า คือ ลิว แพลทท์ กลับเข้ามารับตำแหน่งและให้ คาร์ลี่ ฟิโอริน่าพ้นจากหน้าที่ทางฝ่ายบริหารได้ออกแถลงการณ์พร้อมตีพิมพ์ในเว็บไซต์ทันที ระบุว่า ข่าวที่ผิดพลาด และผู้อำนวย การไม่มีสิทธิทำอย่างนั้น รวมทั้งทีมงานของ HP ไม่ได้ร่วมกับการแต่งตั้งอดีตซีอีโออย่างที่ระบุในข่าว

พร้อมกันนั้นยังได้ประณามวอลเตอร์ ฮิวเลตต์ ว่า ตั้งใจที่จะสอดแทรกและสร้างความเข้าใจผิดให้ผู้ถิอหุ้น เป็นการกระทำแต่ผู้เดียว โดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับสมาชิกบอร์ด แต่ได้ทำการรุกรานตำแหน่งซีอีโอทางสาธารณชน ในขณะที่ผู้อำนวยการคนอื่นๆ ทั้งหมดทำการสนับสนุนคาร์ลี่ ฟิโอริน่า และเห็นว่า การถอนเธอออกจากตำแหน่งของวอลเตอร์ เป็นการกระทำเกินขอบเขตอำนาจ ไร้เหตุผล และขาดความรับผิดชอบ

ในวันที่ 7 มีนาคม S&P หรือ Standard and Poor บริษัท จัดอันดับเครดิต เรตติ้ง หรือความน่าเชื่อถือในการให้กู้ยืมหนี้สิน จึงได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือของ HP ลงไป เนื่องจากเงินสดและ การลงทุนระยะสั้นของบริษัทที่เคยมียอดรวม 7.1 พันล้านดอลลาร์ ในเดือนมกราคม 2002 ได้ลดลงเหลือ 4.3 พันล้าน ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

HP ได้ตอบโต้ว่า HP เป็นบริษัทหนึ่งที่มีบัญชีสมดุลดีที่สุดในอุตสาหกรรมพีซีคอมพิวเตอร์ และการรวมตัวกับคอมแพค จะทำให้บริษัททั้งสองมียอดเงินสดหมุนเวียนถึง 6 พันล้านดอลลาร์ และไม่มีหนี้สินเลย การตัดสินใจของ S&P นั้น ถึงแม้จะมองไปที่ความท้าทายของการรวมบริษัท แต่ก็น่าผิดหวังที่ไม่ได้คำนึงถึงว่า มีคนทำงานคิดเป็นครึ่งล้านชั่วโมง เพื่ออุทิศให้การรวมบริษัทครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งนี้ ซึ่งจะสร้างความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ในวันที่ 12 มีนาคม ฮิวเลตต์ แพคการ์ด ได้เรียกร้องให้วอลเตอร์ ฮิวเลตต์ ตอบคำถามข้อสำคัญ ที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ กันและเป็นที่กังขาของผู้ถือหุ้นทั้งหมด โดยระบุ 10 ข้อคำถามคือ

‘ ฮิวเลตต์จะสามารถเพิ่มผลกำไร ตามที่สัญญาว่าจะทำให้ ราคาหุ้นขึ้นจาก 14 ดอลลาร์ เป็น 17 ดอลลาร์ต่อหุ้นได้อย่างไร ถ้าไม่มีการประหยัดต้นทุนด้วยการรวมบริษัท

‘ การรวมบริษัทจะลดราคาต่อเงินปันผลต่อหุ้นของ HP เป็นสองเท่าได้อย่างไร ในเมื่อที่ผ่านมาคอมแพคมีมูลค่าราคาต่อเงินปันผลต่อหุ้นสูงกว่า HP มาโดยตลอด

‘ ตามที่วอลเตอร์สัญญาว่าจะปรับโครงสร้างธุรกิจพีซี นั้น จะหมายถึงการปลดพนักงานเป็นจำนวนเท่าไร

‘ ธุรกิจภาพอิมเมจและการพิมพ์จะสามารถเป็นหลักได้อย่างไร ถ้าไม่มีการเชื่อมกับธุรกิจคอมพิวติ้งและเครือข่าย ในเมื่อผู้นำของธุรกิจ และผู้สร้างธุรกิจนี้ ยืนยันว่าการเชื่อมโยงกันเป็นสิ่งจำเป็น

‘ วอลเตอร์จะสามารถฟื้นฟูผลกำไรของธุรกิจคอมพิวติ้งเอ็นเตอร์ไพรซ์ได้อย่างไร ถ้าไม่ต้องทำลายความสามารถของธุรกิจนี้ ในการรับมือกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า HP จะแข่งขัน กับส่วนตลาดของระบบเปิด ลีนุกซ์ และวินโดว์เอ็นที ที่เพิ่มขึ้นได้อย่างไร

‘ ทำไมวอลเตอร์ไม่เคยหยิบยกข้อแนะนำหรือทางเลือกเหล่านี้มาพูด เหมือนขณะนี้ที่กำลังให้สัญญิงสัญญาในการต่อรองกับคณะกรรมการตอนนี้

‘ มีอะไรมารับรองที่วอลเตอร์สามารถให้กับผู้ถือหุ้นของ HP ได้ว่า คณะกรรมการของ HP ซึ่งได้รับมอบหมายเต็มที่ในภารกิจคอมแพค จะไม่ลาออก ในเมื่อคณะกรรมการเหล่านี้บ่งชัดว่าพวกเขายังไม่ตัดสินใจเรื่องนี้

‘ มีอะไรมารับรองที่วอลเตอร์สามารถให้กับผู้ถือหุ้นได้ว่า "คณะกรรมการตุลาการบริหารระดับลึก" ของ HP ซึ่งได้รับมอบหมายเต็มหน้าที่ในภารกิจคอมแพคด้วย จะไม่ลาออก

‘ วอลเตอร์ได้พบกับลิว แพลทท์ เพื่อพูดคุยเรื่องการกลับมารับตำแหน่งซีอีโอใช่หรือไม่ อะไรกันแน่ที่วอลเตอร์ได้เสนอให้แพลทท์ใช้อำนาจหน้าที่ใดมาทำการตัดสินใจ เคยสอบถามแผนงานนี้ในการพบปะกับผู้ถือหุ้น HP หรือไม่

‘ หลังจากวอลเตอร์ ได้ขายหุ้น HP ไปกว่าหกล้านหุ้น ตั้งแต่ออกมาคัดค้านการรวมตัว อะไรเป็นแผนการขายระยะสั้นของเขา และมีหุ้นอีกกี่หุ้นที่กองทุนและมูลนิธิของครอบครัวเขาตั้งใจขายในแผนระยะสั้นนี้

ในวันที่ 1 เมษายน ฮิวเลตต์ แพคการ์ด ได้ประกาศแถลง จากคณะกรรมการ โดยการนำของประธานคณะกรรมการว่า คณะ กรรมการได้โหวตไม่ให้วอลเตอร์ ฮิวเลตต์ ร่วมในคณะกรรมการอีกต่อไป หลังจากมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

ในวันที่ 8 เมษายน ศาลแห่งรัฐเดลาแวร์ได้ยอมรับคำฟ้อง ให้มีการตรวจสอบการรวมบริษัทครั้งนี้ โดยการยื่นฟ้องร้องของวอลเตอร์ ฮิวเลตต์ ซึ่งได้ระบุว่า แผนงานการซื้อคอมแพค คอมพิว เตอร์ ในมูลค่า 23 พันล้านนั้น บริษัทได้ทำการหาเสียงสนับสนุนโดยไม่ถูกต้อง

ตามคดี ระบุว่า HP ได้เสียงโหวตสนับสนุนการร่วมบริษัท โดยส่วนใหญ่มาจากสถาบันการเงิน ดอยช์แบงก์ ซึ่งสลับข้างมาเป็นฝ่ายสนับสนุนในเวลาเพียงไม่กี่วัน ก่อนการโหวต ในวันที่ 19 มีนาคม และยังเป็นช่วงสั้นๆ ก่อนธนาคารตัดข้อสัญญาขยายวงเงินกู้ให้ HP เป็น 4 พันล้าน ซึ่งทำให้ฝ่ายที่คัดค้านการรวมตัว ต้องทบทวนความคิดใหม่ ทั้งที่ธนาคารได้รับค่าธรรมเนียมมหาศาล จากการขยายวงเงินให้เครดิต

ในวันที่ 17 เมษายน ฮิวเลตต์ แพคการ์ด ได้ประกาศการ นับเสียงจากการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 19 มีนาคมว่า มีการ ลงมติผ่านการรวมบริษัท จากผู้ถือหุ้น 837.9 ล้านหุ้น และลงมติค้าน 792.6 ล้านหุ้น คิดเป็นผลต่างผู้ลงมติสนับสนุนมีมากกว่า ผู้ค้าน 45 ล้านหุ้น แต่ถ้าคิดเฉพาะในส่วนของเสียงจากหุ้นทั่วไป ที่ไม่เกี่ยวกับหุ้นของครอบครัวทายาทฮิวเลตต์ และแพคการ์ด และมูลนิธิ ส่วนอื่นมีผู้สนับสนุนคิดเป็นจำนวนคร่าวๆ ถึง 2 ต่อ 1

พร้อมกันนั้น บริษัทยังท้าทายว่า หากวอลเตอร์ ฮิวเลตต์ ต้องการให้มีการนับคะแนนใหม่ ก็จะสามารถดำเนินการได้ทันที ภายในหนึ่งสัปดาห์

เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นกรณีศึกษาทางธุรกิจ และการคานอำนาจระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่กับผู้บริหารใหญ่ในครั้งนี้ ศาลตัดสินว่าอย่างไร ก็จะเป็นตัวอย่างในเหตุการณ์ทำนองนี้ที่เกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อบริษัทผ่านจากรุ่นบรรพบุรุษ ไปสู่รุ่นลูกหลานที่ไม่สามารถดูแลบริษัทได้เอง



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.