|
"SCB"เล็งทบทวนธุรกิจครึ่งปีหลัง
ผู้จัดการรายวัน(7 เมษายน 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
สำนักทรัพย์สินฯถือหุ้นใหญ่ในแบงก์ไทยพาณิชย์ สัดส่วน 24.1 % หลังแลกหุ้นกับกระทรวงคลังเดือนมกราคม ยันพอใจสัดส่วนถือหุ้นไม่คิดซื้อเพิ่มเติม เหตุถือเกิน 25 % ต้องทำ Tenderoffer ตามเกณฑ์ ก.ล.ต. เตรียมออกหุ้นกู้สกุลดอลล่าร์ จัดสรรเงินสอดคล้องกับธุกรรมลูกค้า ย้ำเงินกองทุนแกร่ง บีไอเอสกว่า 16 % เตรียมทบทวนเป้าหมายและประเมินสถานการณ์ครึ่งปีหลัง หลังราคาน้ำมันพุ่ง-ปัญหาภาคใต้รุนแรง ระบุมีนโยบายจ่ายปันผล 30-40 %ของกำไรสุทธิได้ทุกปี
นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา นายกกรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้ดำเนินการแลกหุ้นของธนาคารกับกระทรวงการคลังเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยได้ใช้ที่ดินย่านพญาไท เป็นมาแลกหุ้นในสัดส่วน 12-13 % ส่งผลให้สำนักทรัพย์สินฯจะถือหุ้นในธนาคารประมาณ 24.1 %จากเดิมที่ถืออยู่ประมาณ 12% และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทันที อันดับสองจะเป็นส่วนของกระทรวงการคลังถือสัดส่วนประมาณ 24 % โดยการดำเนินธุรกิจ ในระยะต่อไป ยังคงเป็นไปอย่างปกติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น ทั้งคณะกรรมการที่เป็นตัวแทนของสำนักทรัพย์สินหรือทีมผู้บริหาร
นอกจากนี้สำนักทรัพย์สินฯ ไม่มีนโยบายที่จะซื้อหุ้นเพิ่มเติมอีกจากกระทรวงการคลัง โดยมองว่าสัดส่วนดังกล่าวอยู่ในระดับเดิมตั้งแต่ก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ เพราะในเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หากถือหุ้นเกิน 25 % จะต้องทำการเสนอซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นรายย่อย(Tenderoffer) ส่วนกระทรวงการคลังจะขายหุ้นให้กับผู้ร่วมทุนรายใดก็ไม่น่าที่จะมีปัญหาอะไร เพราะปัจจุบันถือว่าธนาคารมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นของคนไทย ส่วนสัดส่วนของต่างประเทศนั้น ขณะนี้มีอยู่จำนวน 40 % ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กำหนดสัดส่วนไม่เกิน 49 %
คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ธนาคารได้ขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นเพื่อออกหุ้นกู้วงเงิน 40,000 ล้านบาท เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งในการระดมเงินทุนของธนาคารภายใต้ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งขณะนี้ธนาคารยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกหุ้นกู้แต่อย่างใด แต่หากจะออกก็เพื่อสอดคล้องกับธุรกรรมของลูกค้า ส่วนใหญ่จะเป็นเงินสกุลต่างประเทศ
"การออกหุ้นกู้ระยะสั้นๆจะเป็นผลดีกับธนาคารมากกว่าที่จะระดมเงินฝาก เนื่องจากไม่ต้องเสียเงินสมทบให้กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในสัดส่วน 0.4 %ของเงินฝากแล้ว ยังเป็นการบริหารต้นทุนที่ต่ำกว่าการกระดมเงินฝากด้วย "กรรมการผู้จัดการใหญ่กล่าว
อย่างไรก็ตามธนาคารไม่มีความจำเป็นที่จะออกหุ้นกู้เพื่อเข้ามาเสริมเป็นเงินกองทุนขึ้นที่ 2 เนื่องจากธนาคารมีเงินกองทุนที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามมาตรฐานบีไอเอสประมาณ 16 % เป็นเงินกองทุนขึ้นที่ 1 ประมาณ 11.4 % ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นการขอมติผู้ถือหุ้นดังกล่าว เพื่อเป็นทางเลือกให้กับธนาคารเท่านั้น ไม่ได้มีความจำเป้นของการขาดเงินกองทุนแต่อย่างใด
ในช่วงนี้ธนาคารได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิต เพื่อประเมินผลของเศรษฐกิจ ซึ่งปีนี้ธนาคารไม่คิดว่าราคาน้ำมันจะสูงขึ้นมากขณะนี้ ดังนั้นจะมีการทบทวนถึงปัจจัยเสี่ยงของการดำเนินธุรกิจอีกครั้งหนึ่งในครั้งปีหลัง โดยขณะนี้ยังไม่มีการปรับเป้าหมายของสินเชื่อและการดำเนินธุรกิจ และคาดว่าผลประกอบการของธนาคารจะเป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีอัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้นเติบโตระดับ 20 % จากเมื่อปีที่ผ่านมา ธนาคารมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเติบโต 23 % เพราะมีรายได้พิเศษจากการขายหุ้นและอื่นๆจำนวนมาก และในปีนี้คาดว่าจะรักษาระดับการเติบโตตามเป้าหมายแน่นอน นอกจากนี้ยังมีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยปีละ 30-40 %ของกำไรสุทธิ คาดว่าสามารถดำเนินการได้แน่นอน
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|