|
คุณเข้าใจเรื่องวิตามินถูกต้องแค่ไหน?
นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2534)
กลับสู่หน้าหลัก
คนทั่วไปมักมีความเชื่อว่า วิตามินเป็นอาหารที่ร่างกายต้องการไม่น้อยไปกว่าสารอาหารประเภทอื่น ๆ ผู้ปกครองจำนวนมากชอบบังคับให้ลูก ๆ รับประทานวิตามินทั้งชนิดเม็ดและน้ำด้วยความเชื่อว่า วิตามินสามารถทำให้เด็ก ๆ แข็งแรงเติบโตได้อย่างดี
ความเชื่อเช่นนี้มีทั้งผิดและถูก
ประการแรกวิตามินไม่ใช่อาหาร แต่เป็นส่วนประกอบของอาหาร ทว่าใช้รับประทานแทนอาหารไม่ได้ และวิตามินก็ไม่ใช่ยา รับประทานเข้าไปเพื่อแก้โรคภัยไข้เจ็บอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น
วิตามินเป็นสารอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่ร่างกายของมนุษย์ต้องการ เพื่อช่วยในการทำงานของอวัยวะหรือเซลล์ต่าง ๆ และยังทำให้เซลล์สามารถทำงานได้ดีและมีรูปร่างคงทนตามปกติ
วิตามินสำคัญที่คนไทยมักขาดอยู่เสมอคือวิตามินเอ มีหน้าที่ทำให้เซลล์ของร่างกายทำงานได้ตามปกติ ถ้าขาดจะทำให้เกิดความผิดปกติที่ตา วิตามินบีหนึ่ง หากขาดจะทำให้หัวใจและเส้นประสาททำงานไม่ปกติ วิตามินบีสอง ถ้าขาดจะเกิดอาการปากอักเสบชนิดที่เรียกว่า "ปากนกกระจอก" ซึ่งจะเกิดทั้งสองข้าง ไม่ใช่เฉพาะข้างใดข้างหนึ่ง และวิตามินซี ซึ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ถ้าขาดจะทำให้เกิดเลือดออกตามไรฟัน
ศาสตราจารย์นายแพทย์ อารี วัลยะเสวี แห่งสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ปัจจุบันดำรงตำแหน่งคณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า "ร่างกายคนเราต้องการวิตามินเพียงจำนวนไม่มากนัก เราไม่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินแบบชนิดเม็ดหรือน้ำ แต่ควรจะรับประทานจากอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่จะดีกว่า แม้แต่คนที่ทานมังสวิรัติซึ่งเป็นผู้ใหญ่ ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอยู่แล้ว ไม่ได้กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ไม่ได้มีโรคประจำตัวอะไร คนพวกนี้ก็ไม่ต้องทานวิตามินเพิ่ม แต่ถ้าอยู่ในข่ายที่ว่ามานี้ก็ควรทานวิตามินรวมวันละ 1 เม็ดก็เพียงพอ
นอกจากนี้ศาสตราจารย์นายแพทย์วิชัย ตันไพจิตรและศาสตราจารย์นายแพทย์ ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ แห่งสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลร่วมกันให้ความเห็นเกี่ยวกับความเชื่อผิด ๆ เรื่องวิตามินด้วยว่าการซื้อวิตามินมากินเป็นจำนวนมากตามคำโฆษณาชวนเชื่อนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูก และไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรแก่ร่างกายเลย
ข้อที่ว่าวิตามินบีมีส่วนช่วยบำรุงสมองหรือบำรุงประสาทมีส่วนถูกต้องอยู่บ้าง เพราะการทำงานของระบบประสาทต้องอาศัยวิตามินหลายตัว ที่สำคัญคือ บีหนึ่ง บีหก บีสิบสอง
โดยเฉพาะวิตามินบีหนึ่งมีหน้าที่สำคัญคือมีส่วนในการเผาไหม้สารอาหารเช่น คาร์โบไฮเดรต ทำให้เกิดพลังงานแก่ร่างกาย มีหน้าที่สังเคราะห์สารอีกหลายอย่างในร่างกายซึ่งมีความจำเป็นต่อการทำงาน และมีส่วนสำคัญในการนำกระแสความรู้สึกในการทำงานของระบบประสาท เส้นประสาท
ผู้ป่วยรายหนึ่งซึ่งยังเป็นเด็กวัยรุ่น เกิดอาการเหน็บชา เนื่องจากขาดวิตามินบีหนึ่ง ทำให้มีการนำกระแสความรู้สึกไม่ดี กล้ามเนื้ออ่อนแรง แขนขาไม่มีกำลัง การทรงตัวเสียหลัก ลุกเดินไม่ได้ ในบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจ มีอาการบวมทั้งตัวและหัวใจล้มเหลว
อย่างไรก็ดี เมื่อมีการรักษาและได้รับวิตามินบีหนึ่งอย่างเพียงพอแล้ว ก็สามารถหายเป็นปกติได้
ส่วนวิตามินซีซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อว่า สามารถรักษาโรคได้หลายชนิด ป้องกันโรคหวัด โรคมะเร็งได้นั้น จากการศึกษาในระยะหลังพบว่าวิตามินซีมีหน้าที่สำคัญต่อการดูดซึมเหล็กจากอาหาร และสามารถยับยั้งการสร้างสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดมะเร็งได้ชนิดหนึ่งในกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร
การยับยั้งสารไนโตรซามีนที่ร่างกายได้รับจากการกินเนื้อสัตว์บางชนิดที่มีการเติมสารกันบูดลงไป ทำได้โดยการกินวิตามินซีขนาด 50-100 มิลลิกรัมต่อวันหรือต่อมื้อ
แต่อันที่จริงวิตามินซีขนาด 50-100 มิลลิกรัมนั้น สามารถหากินจากอาหารทั่ว ๆ ไปได้ การดื่ม น้ำส้มคั้นแท้ประมาณแก้วละ 200 ซีซี ก็มีวิตามินซี 100 มิลลิกรัม ถ้าเป็นน้ำมะนาวอาจได้ถึง 150 มิลลิกรัม หรือฝรั่งขนาด 100 กรัม หรือ 1 ขีด ก็ให้วิตามินซี 200 มิลลิกรัม
ดังนั้นเราควรทานวิตามินจากอาหารดีกว่าจากสารที่ผ่านกระบวนการออกมาเป็นยาเม็ดหรือน้ำ
ส่วนในเรื่องการรักษาโรคหวัดด้วยวิตามินซีนั้น อาจารย์แพทย์ทั้งสามท่านให้ความเห็นพ้องกันว่ามีการศึกษาวิจัยพบว่า ถ้าเราทานวิตามินขนาด 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อวันจะสามารถเพิ่มภูมิต้านทานโรคหวัดได้ แต่ข้อมูลนี้เป็นเพียงการวิจัยในหลอดทดลอง ยังไม่ถึงขั้นปฏิบัติการและให้ผลพิสูจน์อย่างเด่นชัดว่าจะได้ผลเต็มที่
จริง ๆ แล้วร่างกายคนเราต้องการวิตามินซีแค่วันละ 60 มิลลิกรัมเท่านั้น ถ้าหากจำเป็นต้องทานสูงมากถึงวันละ 2,000 มิลลิกรัมตามผลการทดลองขั้นต้นก็นับว่าเป็นอัตราที่สูงมาก และอาจก่อให้เกิดอันตรายได้หากร่างกายไม่สามารถขับถ่ายได้หมด แม้ว่าวิตามินซีจะเป็นวิตามินประเภทที่ละลายตัวในน้ำก็ตาม ถ้าขับถ่ายไม่ทันจะเปลี่ยนเป็นกรดยูริกทำให้ร่างกายเกิดปัญหาได้
ข้อแนะนำที่ดีที่สุดคือไม่ควรไปหาซื้อวิตามินซีมาทานเพื่อแก้โรคหวัด
สำหรับวิตามินเอซึ่งเชื่อกันว่าช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวและปัจจุบันมีการใส่ลงไปในครีมต่าง ๆ เพื่อใช้รักษาสิว รักษาหัวล้านนั้น มีส่วนถูกในแง่ที่ว่าวิตามินเอช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต มองเห็นในเวลากลางคืนได้ดีโดยเฉพาะประสาทตาและจอตา และช่วยให้เยื่อบุต่าง ๆ รวมทั้งเยื่อบุผิวหนังทำหน้าที่เป็นปกติ เช่น เยื่อบุผิวหนัง เยื่อบุตา เยื่อบุทางเดินอาหาร เยื่อบุทางเดินหายใจ
จากการช่วยให้เยื่อบุทำหน้าที่เป็นปกตินี้เอง จึงมีผู้กล่าวอ้างกันมากว่าวิตามินเอสามารถรักษาสิวและป้องกันหัวล้านได้
ความจริงคือร่างกายคนเราต้องการวิตามินเอจากอาหารเท่านั้น การทานั้นโดยหลักการแล้วไม่ช่วยและการกินเพื่อรักษาสิวในปริมาณที่สูงถึง 25,000 ยูนิตหรือหน่วยวันละ 3-4 ครั้ง อาจจะทำให้เกิดเป็นพิษได้ เพราะจะเกิดการสะสมวิตามินเอในร่างกาย
อันตรายที่เกิดจากการกินวิตามินเอมากคือจะมีอาการปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน และอาจมีการปวดกระดูก
ส่วนวิตามินอีที่มีความเชื่อกันว่าช่วยชะลอความแก่ กินแล้วช่วยให้มีประสิทธิภาพทางเพศสูง ใครที่ไม่มีลูกกินแล้วจะมีลูกได้และช่วยบำรุงผิวนั้น ปรากฎว่าความเชื่อเหล่านี้เป็นคำโฆษณาที่ได้มาจากผลการทดลองหรือการสังเกต กับสัตว์เป็นส่วนใหญ่ ยังไม่เคยมีการทดลองกับคน ถ้าสัตว์ตัวผู้ขาดวิตามินอีจะทำให้ไม่มีตัวสเปิร์ม
จริง ๆ แล้ววิตามินอีมีหน้าที่สำคัญต่อร่างกายในหน่วยเล็ก ๆ คือเซลล์ ทำให้เยื่อบุเซลล์เป็นปกติไม่แตกง่าย ไม่ถูกทำลายง่ายเมื่อไปเจอกับออกซิเจน ทั้งนี้ผลจากสัตว์ทดลองที่ให้กินหรือทาวิตามินอี พบว่าถ้ามีการขาดวิตามินอี เซลล์ไขมันเวลาถูกออกซิเจนจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ๆ เหมือตกกระ แต่ไม่มีผลการทดลองในคน
ประโยชน์ของวิตามินอี จะมีใช้อยู่ในทารกคลอดก่อนกำหนด ที่มีปัญหาเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตกง่าย เพราะเซลล์เม็ดเลือดแดงเปราะ มีปัญหาเรื่องเซลล์ปอด เซลล์ตาซึ่งเมื่อถูกออกซิเจนจะทำให้ทำงานไม่ได้ดี
ร่างกายคนเราต้องการวิตามินอีวันละ 10-20 หน่วย ซึ่งสามารถหาทานได้จากอาหารที่เราทาน เป็นประจำอยู่แล้ว
อาหารทั่ว ๆ ไป ที่คนเรารับประทานอยู่ทุกวันนี้ หากครบทั้ง 5 หมู่ คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ ก็มีวิตามินอยู่เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องไปซื้อวิตามินมาทานเสริมอีก
ผู้ที่ขาดวิตามินนั้นมี 3 กรณี คือเกิดความต้องการอาหารของร่างกายเพิ่มขึ้น เช่น หญิงมีครรภ์ เป็นต้น ผู้ป่วยซึ่งทานอาหารได้น้อยและมีการดูดซึมหรือการย่อยไม่ดีเท่าที่ควร และในกรณีของคนที่มีการผิดปกติในการใช้วิตามิน
เมื่อมีความเข้าใจในเรื่องของวิตามินอย่างถูกต้องดังที่กล่าวมาแล้ว บรรดาคำโฆษณาชวนเชื่อทั้งหลายเกี่ยวกับวิตามินก็คือคำโกหกมดเท็จที่ไม่ควรไปใส่ใจฟังอีกต่อไป !
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|