ชัย เป็นโสภณพนิชอีกผู้หนึ่ง ที่มีบทบาทสูงในธุรกิจของตระกูล แม้กิจการหลัก 2 แห่ง ที่เขาดูแลอยู่คือ กรุงเทพประกันภัย และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีรายได้รวมเกินออกไปจาก 100 อันดับแรก
เพียงเล็กน้อย แต่ทั้ง 2 กิจการ ก็มีสีสัน และพัฒนาการที่น่าสนใจ ที่สำคัญ
ทั้ง 2 กิจการได้สะท้อนให้เห็นบุคลิก และตัวตนของเขาได้ดียิ่ง
ปีนี้ ชัย โสภณพนิช มีอายุครบ 59 ย่างเข้าสู่วัย 60 ซึ่งหากเป็นคนปกติ
ก็เป็นเวลาที่เตรียมตัวรีไทร์จากงาน เพื่อออกไปใช้เวลาส่วนใหญ่ให้กับครอบครัว
แต่ชัยยังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
"ผมยังมีภาระ หากคิดจะรีไทร์ช่วงนี้คงลำบาก" ชัยบอกกับ "ผู้จัดการ"
ชัยเป็นลูกคนที่ 5 ของชิน โสภณพนิช ที่ผู้เป็นพ่อมอบความไว้วางใจให้ค่อนข้างมาก
เขายังเป็นคนที่มีความรักพี่รักน้องสูง โดยไม่เลือกว่าจะมาจากสายไหน
ในจำนวนกิจการที่ชินเป็นผู้ก่อตั้ง นอกจากธนาคารกรุงเทพแล้ว บริษัท กรุงเทพประกันภัย
ก็เป็นอีกกิจการหนึ่งที่มีความสำคัญไม่ด้อยไปกว่ากัน
ชัยถูกวางตัวให้เป็นผู้รับผิดชอบกิจการแห่งนี้ตั้งแต่เขาเรียนจบทางด้านบริหารธุรกิจ
มาจากสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2511 และในปี 2519 ชินก็ได้มอบบทบาทในการควบคุมกิจการกรุงเทพประกันภัยแก่เขาอย่างเบ็ดเสร็จ
ตั้งแต่ชาตรีผู้เป็นพี่ยังไม่ได้ขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในธนาคารกรุงเทพ
นอกจากกรุงเทพประกันภัย ชัยยังเคยมีส่วนเข้าไปช่วยดูแลกิจการของกรุงเทพประกันชีวิต
ก่อนที่จะวางมือปล่อยให้เชิดชู น้องชายคนเล็กเข้ามา รับช่วงดูแลต่อในภายหลัง
ส่วนกิจการโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวที่ตั้งขึ้นมาในช่วงหลัง
เขาก็ได้เข้าไปรับผิดชอบอย่าง เต็มตัว ตั้งแต่คิดริเริ่มก่อตั้ง ในปี 2518
"ธุรกิจที่ผมเกี่ยวข้องโดยตรง หรือเกี่ยวข้องมากหน่อย คือทั้งประกันชีวิต
ประกันภัย และโรงพยาบาล มันเกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับความเป็นอยู่ ความตาย
ความ ลำบากของคน"
การที่ต้องเข้าไปรับผิดชอบในกิจการที่มีลักษณะเฉพาะ แตกต่างจากธุรกิจ การเงินทั่วไปเช่นนี้
ทำให้ชัยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาเรื่องราวของชีวิต ไม่น้อยไปกว่าเรื่องราวของธุรกิจ
นอกจากนี้ เขายังเป็นคนที่ชอบสะสมงานศิลปะ และของเก่า ทำให้เขาต้อง เข้าไปสนใจศึกษาเรื่องราวในประวัติศาสตร์
ชัยเป็นคนยึดมั่นในศาสนา และมีความเชื่อแบบไทยๆ ในต้นปี 2530 ซึ่งเป็น
ช่วงที่ชินกำลังป่วยหนัก เขาตัดสินใจไปบวช ที่วัดเทพศิรินทร์ และเดินทางไปจำพรรษาอยู่ที่วัดดอนธรรมเจดีย์
จังหวัดสกลนครถึง 16 วัน
เขามีความหวังว่าด้วยอานิสงส์จากการบวชของเขา จะส่งผลทำให้อาการของชินทุเลาขึ้น
หลังจากสึกจากการเป็นพระ ในวันมาฆบูชาของทุกปี ชัยจะต้องเดินทางไปทำบุญยังวัดแห่งนี้
และค้างคืน เพื่อนั่งวิปัสสนา
ในช่วงหลัง เขาได้พาพนักงานในสังกัดที่เขารับผิดชอบไปร่วมทำบุญด้วย จน
ได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของพนักงาน กรุงเทพประกันภัย และโรงพยาบาลบำรุง
ราษฎร์ ที่ต้องไปทำบุญร่วมกับชัยทุกๆ ปี
"ผมทำอย่างนี้ต่อเนื่องมา 15 ปีแล้ว"
(อ่านรายละเอียดใน "ผู้จัดการ" ฉบับเดือนเมษายน 2545)
โดยบุคลิก แม้คนภายนอกจะไม่ค่อยเห็นรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของชัยได้บ่อยครั้งนัก
แต่แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่มากด้วยอารมณ์ขัน และพนักงานของเขาทุกคน ล้วนยืนยันว่าเขาเป็นคนใจดี
นี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ใบหน้าของเขาไม่บ่งบอกเลยว่า เขาเป็นคนที่มีอายุใกล้
60 ปีเข้าไปแล้ว
บุคลิกที่สำคัญที่สุดของชัย คือเขาเป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเอง และมีความ
เชื่อมั่นในตัวเองสูง
ในตอนเด็ก หลังจากเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 ชัยถูกชินผู้เป็นพ่อ ส่งไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย
ในเวลาไล่เลี่ยกับที่ชาญ และโชติ พี่ชาย 2 คนของเขา ที่ได้เดินทาง ไปก่อนหน้านั้นแล้ว
"ช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามเกาหลี และมีข่าวว่าอเมริกาจะเอาเครื่องบินมาทิ้งระเบิด
ที่พรมแดนระหว่างเกาหลีเหนือกับจีน เพื่อกันไม่ให้ทหารจีนเข้ามาช่วย คนก็เลยกลัวกันว่าจะเกิดเป็นสงครามโลกครั้งที่
3 พ่อก็เลยคิดจะส่งให้ลูกไปอยู่เมืองนอก ซึ่งตอนนั้นออสเตรเลียถือเป็นเมืองนอกที่อยู่ใกล้ที่สุด
และยังมีคนไทยไปเรียนอยู่น้อยมาก" เขาเล่า
ลูก 4 คนแรกของชิน ที่เกิดกับบุญศรี ซึ่งประกอบด้วยชาญ โชติ ชัย และชดช้อย
ทั้ง 4 คนถูกส่งไปเรียนที่ออสเตรเลียตั้งแต่ยังเด็ก และเมื่อเรียนจบชั้นมัธยม
ก็จะเรียนต่อ ในระดับปริญญาตรีที่นี่กันเลยทุกคน
ยกเว้นชัยเพียงคนเดียวที่ขอไปเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกา
ส่วนเชิดชู ลูกชายคนเล็กถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษ ตั้งแต่ชั้นประถมจนจบมหาวิทยาลัย
ชัยบอกถึงการตัดสินใจไปเรียนในสหรัฐอเมริกาช่วงนั้นว่า เพราะไม่ต้องการอยู่ใน
ความดูแลของชาญ และโชติ
"ผมไปอเมริกาเพราะจะได้ไม่ต้องมีพี่ชาย 2 คน มาคอยดูแล"
การที่ได้มีโอกาสไปศึกษาในต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ทำให้ชัยมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีนัก
ต่อระบบการศึกษาของไทยในช่วงที่ผ่านมา
"ในเมืองไทย ห้องเรียนหนึ่ง มีนักเรียนถึง 30-40 คน และระบบการศึกษาของเราคือนักเรียนต้องฟังอย่างเดียวห้ามถาม
ถ้าถามแล้วเดี๋ยวคนอื่นจะมองว่าไม่ฉลาด และ เมื่อต้องการจะเรียนให้เจาะลึกลงไปหน่อยก็ต้องไปเรียนพิเศษ
แล้วอย่างนี้เด็กจะเอาเวลาว่างจากไหน เวลาก็ไม่มี โอกาสที่เด็กจะได้ออกกำลังกายก็ไม่มี"
ลูกๆ ของชัยทุกคน จึงถูกเขาส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก โดยเป็นการไปเรียนต่อในระดับมัธยมปลาย
จนถึงระดับปริญญาตรี
ชัยแต่งงานกับนุชนารถ ศุภพิพัฒน์ ลูกสาวของเจ้าของโรงสี และกิจการค้าวัสดุก่อสร้าง
มีลูกด้วยกัน 5 คน เป็นลูกสาว 4 และลูกชาย 1
เขาวางพื้นฐานการศึกษาโดยให้ลูกๆ ของเขาทุกคนเข้าเรียนระดับประถมจนถึงมัธยมต้นในเมืองไทย
ลูกสาวเข้าเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอี ส่วนลูกชายเรียนที่สาธิตประสานมิตร
หลังเรียนจบมัธยมต้นในเมืองไทย เขาส่งลูกทุกคนไปเรียนต่อระดับมัธยมปลายที่สหรัฐอเมริกา
โดยทุกคนได้เข้าเรียนที่ Oregon Episcopal school ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำอยู่ในเมืองพอร์ตแลนด์
รัฐโอเรกอน
"โรงเรียนนี้เป็นของศาสนาคริสต์สายกลาง ที่ไม่เข้มงวดเท่าคาทอลิก แต่ก็เข้มกว่า
เพรสไบเซนทีเรียน"
รัฐโอเรกอนเป็นรัฐที่อยู่ทางตะวันตกของสหรัฐฯ การที่ชัยส่งลูกมาเรียนที่นี่
จะแตกต่างจากคนไทยส่วนใหญ่ที่มักจะถูกส่งไปเรียนในฝั่งตะวันออก
แต่เขามีเหตุผล เพราะมีครอบครัวของคนอเมริกันที่เกษียณแล้วครอบครัวหนึ่งที่เขารู้จักเป็นอย่างดี
คอยดูแลลูกๆ ของเขาให้
"โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนประจำ 1 ใน 2 แห่งที่ดีที่สุดของเมืองพอร์ตแลนด์
ห้องเรียนห้องหนึ่งมีนักเรียนเฉลี่ยประมาณ 12-15 คน และการจัดโต๊ะเรียนก็ไม่ใช่เรียงเป็นแถวแบบของไทย
แต่ใช้จัดเป็นแบบวงกลม หรือรูปตัวยู"
หลังลูกๆ แต่ละคนเรียนจบระดับมัธยม ในการเลือกเรียนต่อระดับปริญญาตรีในแต่ละสาขา
ชัยบอกว่าเขาให้ลูกๆ เลือกโดยอิสระ ไม่ได้บังคับ
ชนิดา ลูกสาวคนโตปัจจุบันอายุ 30 ปี หลังเรียนจบชั้นมัธยม ได้ไปเรียนปริญญา
ตรีทางด้านการเงิน ต่อที่ Rochester University รัฐนิวยอร์ก และเข้าทำงานกับมอร์แกน
สแตนเลย์ ที่สิงคโปร์ 1 ปี ก่อนที่จะไปเรียนต่อปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจที่
Massa- chusettes Institute of Technology (MIT) และได้กลับมาเมืองไทยในปี
2541 โดยเริ่มงานที่แรกในธนาคารกรุงเทพ
ปัจจุบัน ชนิดาเป็นกรรมการบริหาร ของบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง บริษัทหลักทรัพย์แห่งใหม่ของธนาคารกรุงเทพ
ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้น
เลอลักษณ์ ลูกสาวคนที่ 2 ปัจจุบันอายุ 28 ปี จบปริญญาตรีทางด้านสถาปัตย์
จาก Smith College หลังเรียนจบได้ทำงานหาประสบการณ์อยู่ 2 ปี ก่อนที่จะเข้าเรียนต่อปริญญาโททาง
Interior และสถาปัตย์ ที่ Rhode Island School of Design เพิ่งเรียนจบเมื่อปีที่แล้ว
และกำลังทำงานหาประสบการณ์อยู่ในสหรัฐฯ
ชวาล ลูกชายคนที่ 3 ปัจจุบันอายุ 26 ปี จบปริญญาตรีจาก Rochester Institute
of Technology นิวยอร์ก และเพิ่งเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขาประกันภัยอยู่ที่
St.Johns University
ชวนี ลูกสาวคนที่ 4 ปัจจุบันอายุ 24 ปี จบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ และภาษาจีน
จาก Wellesley College ปัจจุบันกำลังศึกษาภาษาจีนอยู่ในกรุงปักกิ่ง และเตรียมตัวจะเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโททางด้านการบริหารโรงพยาบาลที่
Columbia University นิวยอร์ก โดยจะเดินทางไปในเดือนกันยายนที่จะ ถึงนี้
ลสา ลูกสาวคนสุดท้อง ปัจจุบัน อายุ 22 ปี กำลังเรียนระดับปริญญาตรีทางด้าน
International Relations และภาษาจีน อยู่ที่ Wellesley College ในชั้นปีที่
3 โดยพื้นฐานเป็นคนชอบทางด้านกฎหมาย เมื่อเรียนจบคาดว่าจะเรียนในระดับปริญญาโททางด้านกฎหมายต่อในสหรัฐอเมริกา
ในวัยที่อายุใกล้ 60 ปี วันนี้ชัยยังคงต้องทำงานหนัก เพราะยังเหลือเวลาอีกหลายปี
กว่าที่ลูกๆ ทุกคนของเขาจะเรียน จบแล้วกลับมาอยู่เมืองไทย
ในทางธุรกิจ เขาคงต้องตั้งความหวังไว้กับชวาล และชวนี ลูกคนที่ 3 และ 4
มากเป็นพิเศษ
นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาบอกว่าเขายังมีภาระ ถ้าต้องรีไทร์ในช่วงนี้คงทำ
ได้ลำบาก
เพราะเขายังต้องใช้เวลาอีกระยะ กว่าที่ลูกทุกคนโดยเฉพาะชวาลและชวนีจะเรียนจบ
และสามารถรับภารกิจการสืบ ทอดต่อจากเขาไปได้