|
ดร.สาวิตต์ โพธิวิหค ซุปเปอร์แมนหรืออะไรกันแน่?
โดย
ไพโรจน์ จันทรนิมิ
นิตยสารผู้จัดการ( พฤษภาคม 2531)
กลับสู่หน้าหลัก
บทบาทของ ดร.สาวิตต์ โพธิวิหค กับโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด ถ้าพิจารณาผิวเผินอาจงวดลงทุกขณะ ทว่าแนวทางที่เขาอยากให้มี "บรรทัด" เกิดขึ้นมาเพื่อรับช่วงต่อไปนั้น เป็นเรื่องที่น่ามองกันมากว่าทางเดินข้างหน้าของคนหนุ่มวัย 43 ปีที่กำลังจะติดซี. 9 ในเร็ววันนี้ อย่างนั้นจะมีอนาคตเช่นไร
คนที่เป็นสุขและแทบจะบ้าเสียให้ได้กับโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดเห็นจะเป็น "ดร.สาวิตต์ โพธิวิหค" ลูกชายอดีตผู้ช่วยทูตทหาร พล.อ.อ.สวัสดิ์ และนางอุไร โพธิวิหค คหบดีชื่อดังสมุทรปราการคนนี้กับโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดนั้นแบจะผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกันอาจไม่มีแผนยุทธศาสตร์พัฒนาฉบับนี้ก็เป็นได้ ถ้าอดีตนักเรียนทุน กพ.อย่างเขายังรักที่จะเป็นข้าราชการกรมชบประทานอยู่ดังเดิม
ด้วยความรู้ปริญญาเอกสาขาวิชา "SYSTEM ANALYSIS" จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ทำให้เขาต้องมาพัวพันกับโครงการแสนล้านนี้ในฐานะต้นคิดคนสำคัญ ที่ถูกตั้งข้อสงสัยนับแต่เริ่มประกาศโครงการนี้ออกมาว่า "มันจะเป็นจริงไปได้หรือ"
และเขายิ่งถูกสงสัยมากขึ้นเมื่อแผนพัฒนาฯนี้ล่วงเข้าสู่ปี 2527 ที่สถานะเศรษฐกิจของประเทศยืนอยู่ในภาวะล่อแหลมจนต้องมีคำสั่งทบทวนว่า สมควรจะดำเนินโครงการนี้ดีต่อไปหรือไม่ ซึ่งเขาในฐานะเจ้าหน้าที่สภาพัฒนฯ ถูกระบุว่า "เป็นคนที่ออกแรงลุ้นให้มีโครงการนี้จนตัวโก่ง"
ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องมาจากความเคลือบแคลงที่ว่า "เขาได้ลงทุนไปมากแล้วเกี่ยวกับการกว้านซื้อที่ดินเพื่อเก็งกำไรทั้งในชื่อตนเองและคนอื่น ๆ ซึ่งถ้าโครงการนี้มีอันล้มเลิกเขาต้องเจ็บตัวหนักที่สุดในชีวิต"
ความน่ากังขาที่ว่าเขาจะเป็น "เจ้าที่ดิน" รายใหญ่อีกรายหนึ่งในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกยังคงคาบเกี่ยวมาจนถึงปัจจุบัน ที่นับวันจะมีเสียงตอกย้ำหนักแน่นมากขึ้น ๆ บางคนถึงสรุปว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเขาจะกลายเป็นมหาเศรษฐีอีกคนหนึ่งของเมืองไทย
ที่จริงถ้ามองจากพื้นฐานก็น่าที่จะเป็นไปได้ไม่น้อยเพราะ ดร.สาวิตต์เป็นคนเดียวที่พูดได้ว่าล่วงรู้ความเป็นไปของโครงการนี้มากที่สุด ดังนั้นหากเขาจะดักลอบก็น่าจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบมากที่สุด หรือถ้าไปเข้าร่วมกับกลุ่มใดกลุ่มนั้นก็น่าจะเป็นฝ่ายที่มีภาษีดีที่สุด
"ดูกันง่าย ๆ แค่ตอนพิจารณาสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ทั้งที่มีความไม่ชอบมาพากลอะไรหลายอย่าง แต่ก็เป็นดร.สาวิตต์ที่ออกแรงช่วยลุ้นจนความสำเร็จเป็นของอิตัลไทย" แหล่งข่าวชี้ให้เห็นถึงการกุมข้อมูลในฐานะ ผอ.สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของ ดร.สาวิตต์ที่สามารถให้คุณให้โทษทั้งต่อตัวเองและนักลงทุนได้ดีที่สุด
"ผมรู้สึกเฉย ๆ แล้วล่ะที่จะถูกมองแต่ไปตรวจดูได้เลยว่าผมมีที่ดินกี่แห่งกันที่ไปลงทุนทำรีสอร์ทก็แทบจะไปไม่รอดเป็นธรรดานะในเมื่อผมกำข้อมูลไว้ในมือก็ถูกมองได้ง่ายว่า ถ้าคิดจะหาผลประโยชน์ใส่ตัวแล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่ยากเย็นเลย เอาเป็นว่าถ้าผมเป็นอย่างที่เขากล่าวหาจริงป่านนี้ผมสบายไปแล้ว" เขาแก้ต่างกับ "ผู้จัดการ"
มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้สำหรับเขาเลยจริง ๆ เพราะถ้าดร.สาวิตต์ จะเป็นแค่ ผอ.คนหนึ่ง เขาคงไม่ถูกมองมากอย่างนี้ แต่ในเมื่อเขากระโดดเข้ามาลงทุนทำรีสอร์ทที่ระยองก็เลยเพิ่มน้ำหนักความสงสัยว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า?
อะไรไม่ว่า "ระยองรีสอร์ท" ของเขอานั้นหลายคนตั้งข้อสงสัยมากว่า มีความไม่ชอบมาพากลแฝงเร้นอยู่ไม่น้อย นับตั้งแต่การจัดซื้อที่ดิน 31 ไร่จากสองนายหน้าค้าที่ดินเพื่อมาสร้างรีสอร์ท เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากว่า
"ที่ดินซึ่ง ดร.สาวิตต์ซื้อมานั้นจะมีการออกนส.3 ให้ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศพื้นที่บริเวณนั้นเป็นเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า"
"ถ้าเส้นไม่ถึงจริง ๆ แล้วพื้นที่นั้นต้องถูกเหมารวมเป็นเขตอุทยานฯแน่นอนเพราะจุดนั้นสวยมากทีเดียว เรื่องนี้รู้กันว่าดร.สาวิตต์ ได้รับการช่วยเหลือจากคนสองคน คนหนึ่งนั้นเป็นกรรมการแบงก์ไทยพาณิชย์และยังมีบทบาทในสำนักงานทรัพย์สินฯส่วนอีกคนเป็นผู้หญิงที่ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาซึ่งคน ๆ นี้นัยว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ระยองรีสอร์ทอยู่ด้วย" แหล่งข่าวคนหนึ่งกล่าว
ปริศนาอยู่ที่ว่า ผู้หญิงที่ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาคนนี้เป็นใคร และเธอใช่ไหมที่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการปฏิบัติการเชิงรุกที่ทำให้หลายคนมองบทบาทของดร.สาวิตต์ ในปัจจุบันนี้ว่า "เขากำลังจะก้าวเป็นศักดิ์นาค้าที่ดินเต็มรูปแบบ"
ผมพูดได้เลยว่าที่ดินของระยองรีสอร์ทนั้นไม่มีลับลมในอะไรทั้งสิ้น มันเป็นที่ดินที่โฉนดถูกต้องมาแต่ต้นแล้ว โธ่ผมทำรีสอร์ทแห่งนี้ไม่เห็นมีกำไรตรงไหนเลยฝรั่งบางคนไม่เชื่อว่านี่เป็นโรงแรม เขาบอกว่าน่าเป็นที่กินเหล้าของเพื่อนฝูงมากกว่า" ดร.สาวิตต์บอกกับ "ผู้จัดการ"
ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าเขาคนนี้จะมีส่วนได้-ส่วนเสียทั้งโดยตรงและทางอ้อมกับโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดในประเด็นเรื่องที่ดินอย่างไรนั้น เห็นทีจะต้องยกให้เป็นความเข้าใจและความรูสึกของแต่ละคนตัดสินกันเอาเอง
ดร.สาวิตต์ โพธิวิหค คนหนุ่มวัย 43 ปีที่กำลังจะเลื่อนขั้นเป็นข้าราชการซี.9 ในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งนับว่าเป็นการก้าวที่รวดเร็วมากสำหรับชีวิตข้าราชการคนหนึ่ง
บางคนว่าที่เขาไปได้ไกล และไปได้สวยเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลายนั้นเป็นเพราะว่า "เขาสามารถนับเป็นลูกรักของป๋าอีกคนหนึ่ง" อย่างที่มีการเสนอความคืบหน้าของโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด ดร.สาวิตต์ต้องเป็นคนรายงานด้วยตัวเองต่อป๋า
และถ้าบอกว่าดร.สาวิตต์เป็นลูกป๋าเขาก็คงมาในทำนองเดียวกับลูกป๋าทั้งหลายที่ยังครองความเป็นหนุ่มโสดไว้อย่างเหนียวแน่น แม้ว่าจะมีหญิงสาวเปลี่ยนหน้ามาเป็นคู่ควงอยู่เนือง ๆ ก็ยังไม่มีทีท่าตกร่องปล่องชิ้นกับใครเสียที
ครั้งหนึ่งเคยมีข่าวซุบซิบหนาหูว่า ดร.สาวิตต์ มีความสนิทสนมถึงขั้นที่จะยอมใช้ชีวิตคู่อยู่กับศิวพร บุณยเกียรติ อดีตนางเอกละครชื่อดัง แต่แล้วข่าวลือก็ยังเป็นข่าวที่ไม่มีมูลความจริงอะไรเลยสำหรับคนหนุ่มอย่างเขา
วัย 43 ปีของอดีตเด็กนักเรียนแห่งหุบเขาเมืองนีตา ประเทศอินเดีย ที่ชื่อดร.สาวิตต์ โพธิวิหค ซึ่งยังคงนิยมมีความสุขกับการดื่มเหล้าวนเวียนไปตามผับต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นี่บราวส์ชูการ์หรือที่สีลมพลาซ่าหรือไม่อาจไปเล่นตู้เกมที่แอมบาสซาเดอร์ (ในอดีต) นั้น ความสนุกสนานอย่างมีเสรีกลับเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตัวเขามากขึ้น ๆ ทุกวี่วัน
"เขาเป็นคนที่ถือความคิดตัวเองเป็นหนึ่งที่ไม่ยอมลงให้ใครง่าย ๆ ดูอย่างคราวที่ถกเถียงกันว่าโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดควรชะลอดีหรือไม่ ครั้งนั้นดร.สาวิตต์พุ่งชนกับปู่สมหมายและรัฐมนตรีบางคนอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน" คนที่รู้จักเขาดีเล่าให้ฟัง
วิเคราะห์ความเชื่อมั่นที่มีมากขึ้นของข้าราชการหนุ่มอนาคตไกลคนนี้ ดูได้ถึงกึ๋นมากที่สุดเห็นจะเป็นเค้าโครงความคิดที่เขาเสนอต่อรัฐบาลชุดปัจจุบันว่า ควรที่จะมีการจัดตั้งบรรษัทเพื่อการพัฒนาโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดขึ้นมาแล้วยุบสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกที่เขานั่งเป็น ผอ. นี้ทิ้งไป
บรรษัทเพื่อการพัฒนาของดร.สาวิตต์ นี้จะมีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 100% แล้วให้บรรษัท ฯ ดังกล่าวนี้มีสิทธิที่จะเข้าไปร่วมถือหุ้นในโครงการต่อเนื่องจากโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดโครงการไหนก็ได้ที่ว่าเหมาะสม ซึ่งรูปแบบนี้เขาเชื่อมั่นมากว่าจะทำให้โครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดพัฒนาไปถึงขั้นที่มุงหมายเอาไว้จริง ๆ
ซึ่งแนวคิดเรื่องบรรษัทฯนี้ "ผู้จัดการ" ทราบว่า ได้ผ่านการตกผลึกจากมีชัย ฤชุพันธ์มือกฎหมายของรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว และมีความเป็นไปได้มากว่าหากรัฐบาลสมัยหน้ายังมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แล้วล่ะก็บรรษัทฯนี้จะต้องปรากฏออกมาแน่นอน
แต่ในความเห็นของนักลงทุนหลายรายกลับมองว่า แนวคิดเรื่องการจัดตั้งบรรษัทฯของดร.สาวิตต์ เนื้อแท้แล้วมิใช่จะอำนวยความสะดวกหรือเป็นแกนหลักในการพัฒนาแต่อย่างใดไม่ หากแต่เป็นการรวมศูนย์อำนาจมาไว้ที่กระจุกเดียว ซึ่งมองจากประเด็นการให้อำนาจบรรษัทฯยุบหรือเพิกถอนโครงการอะไรได้นั้น มองในมุมกลับอาจเป็น "ส่งดาบให้ไปอยู่ในมือโจร"
ความปราดเปรื่องที่เสนอแนวคิดจัดตั้ง "บรรษัทพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก" ที่ผ่านขั้นตอนเป็นร่าง พ.ร.บ. ไปแล้วนั้น ถ้ามองถึงความจำเป็นของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในระยะยาวการจัดตั้งองค์กรขึ้นมาบริหารในลักษณะ "บรรษัท" ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลในตัว
ทว่าถ้าพิจารณาอย่างละเอียดลึกซึ้งถึงหลักการบางประการประกอบกับอำนาจหน้าที่ของ "บรรษัท" ที่คนหนุ่มอย่าง ดร.สาวิตต์ ต้องการจะให้เป็นไป กลับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะแยบยลและซ่อนลึกความน่ากังขาจนน่าที่จะได้พูดถึงและจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
จริงอยู่ที่ว่าบรรษัทฯแห่งใหม่นี้อาจมีอำนาจหน้าที่เพียงพื้นที่เฉพาะตามโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดที่ดูแล้วอาจจะไม่ใหญ่โตโอ่อ่าอะไรมากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่น่ามองข้ามคือว่าความเป็นจริงข้างหน้าหากโครงการนี้ได้รับการปลุกปั้นให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
แน่นอนทีเดียวว่าพื้นที่เล็กๆ ไม่กี่หมื่นกี่แสนตารางกิโลเมตรของชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกย่อมต้องเปลี่ยนแปรงโฉมหน้าใหม่ที่แตกต่างไปจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อนั้นพื้นที่เหล่านี้คงเป็นพื้นที่พิเศษที่ไม่ว่าใคร ๆ ต้องจ้องตาเป็นมัน
ดังนั้นการให้อำนาจหน้าที่บรรษัทฯอย่างเหลือล้น อาทิตามมาตรา 27 ที่ว่าบรรษัทฯสามารถที่จะสั่งเพิกถอนสัมปทานหรือสิทธิที่เอกชนได้รับในเขตพื้นที่ หรือสามารถสั่งบังคับซื้อที่ดินจากเอกชนได้ หากพิจารณาเห็นว่าเอกชนรายนั้น ๆ กระทำการที่ไม่สู้สมควร แม้ว่าจะระบุทางออกเอาไว้ว่า "ราคาที่จะซื้อนั้นจะให้ราคาอย่างเป็นธรรม"
ในประเด็นนี้มีใครบ้างที่จะมั่นใจว่า "เอกชนอาจไม่ถูกทารุณจิตใจและย่ำยีโครงการได้ในวันใดวันหนึ่ง" และถ้าผู้มีอำนาจสูงสุดของ "บรรษัท" ไม่ตั้งตนอยู่ในความเป็นธรรม ยึดความถูกต้องเป็นบรรทัดฐานอย่างแท้จริงแล้วไซร้ ลักษณะอาการ "ต้องพวกกูไว้ก่อน" ย่อมต้องปรากฏออกมาให้เห็นแน่นอน
ซึ่งในที่สุดบรรษัทฯแห่งใหม่นี้อาจวิ่งหนีไม่พ้นความเป็น "ปีศาจคาบคัมภีร์" เหมือนอย่างที่หลายหน่วยงานราชการกำลังเป็นที่เอือมระอาและเป็นที่จงเกลียดจงชังของนักลงทุนทั้งหลายอยู่ในเวลานี้
บรรษัทฯนี้จึงเหมือนเป็นดาบสองคมโดยแท้ หลักการรวมที่ดี แต่วิธีการที่จะให้เป็นอย่างบริสุทธิ์ซึ่งยากที่จะทำได้เป็นเรื่องน่ากลัวยิ่งนัก!!!
หรือในประเด็นมาตรา 17 ที่ว่า บรรษัทจะดำเนินงานนอกเขตพัฒนาพื้นที่เฉพาะได้ถ้างานนั้นต่อเนื่องหรือเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายในเขตพื้นที่เฉพาะ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
นี่คงเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการแผ่ขยายปริมณฑลอำนาจที่ลุ่มลึกเสียนี่กระไร!?
"ต้องมองกันนะว่าโครงการต่อเนื่องที่จะออกนอกพื้นที่โครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดนั้นย่อมมีแน่ และอาจมีมากเสียด้วย ดังนั้นการให้อำนาจหน้าที่บรรษัทเข้ามาควบคุมได้ดูแล้วเหมือนจะเป็นการละเมิดสิทธิเอกชนมากเกินไป ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลมิใช่หรือที่เป็นคนชักชวน" นักลงทุนคนหนึ่งกล่าว
"มันก็เป็นเพียงความคิดที่ผมเห็นว่าน่าจะเกิดขึ้น ส่วนใครจะมาเป็นผู้จัดการนั้นคงขึ้นอยู่กับความเห็นของ ครม."
ดร.สาวิตต์ ออกตัวกับ "ผู้จัดการ" แม้ว่าแนวคิดและร่าง พรบ. ฉบับนี้จะเป็นงานที่ภาคภูมิใจของทีมงาน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่กลายเป็นรัฐบาลรักษาการไปเสียแล้ว อาจมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือทบทวนแนวคิดนี้ใหม่ในรัฐบาลชุดใหม่ แต่ก็นั่นแหละหากผู้นำรัฐบาลเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คนอื่นที่ไม่ใช่คนชื่อ "เปรม" การคาดหวังในเรื่องนี้อาจเป็นจริง ทว่าถ้ายังได้คนคอเอียงเสียงดีที่ชอบทำขวยเขินมาบริหารประเทศต่อไป แนวคิดนี้คงได้รับการผลักดันจนถึงที่สุด
ณ เวลานั้นเราคงได้ดูถึงบทบาทแท้จริงของ ดร.สาวิตต์ โพธิวิหค ลูกสุดที่รักของ "ป๋า" คนนี้!!!!!
ดร.สาวิตต์นั้นปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าแนวคิดเรื่องบรรษัทนี้เขาเพียงแต่ต้องการที่จะหารูปแบบมาสานต่อโครงการนี้ให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด โดยที่ตัวเองไม่ได้หวังที่จะต้องเป็นผู้จัดการคนแรกอย่างใดไม่!?
ทว่าจากพฤติกรรมและความคิดเห็นที่พยายามสร้างภาพของ "บรรษัท" แห่งใหม่ให้ดูมีอำนาจใหญ่โตนั้น ใครเลยจะไม่คิดกันบ้างว่า "ดร.สาวิตต์อาจมีความหวังอยู่กับการได้เป็นกรรมการผู้จัดการบรรษัทฯแห่งนี้เป็นคนแรก"
"ผมเไม่เชื่อว่าคนอย่างเขาจะถอนสมอจากโครงการนี้ไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์ เพราะว่าไปแล้วโครงการนี้มันให้อะไรได้มากมายนักลงทุนคนหนึ่งสรุป
ดร.สาวิตต์เป็นอีกคนหนึ่งที่มองการณ์ไกล เขาเคยเชื่อและยังเชื่อมาจนถึงทุกวันนี้ว่า ความเป็นไปได้มากที่สุดของโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดคือการยกระดับความเป็นอยู่ของคนอีสานให้ดีขึ้นประตูบานนี้จะเป็นตัวเชื่อมโยงความสำเร็จของภาคตะวันออก-ภาคอีสาน
"ผมยังมีโครงการที่จะเล่นอะไรกับแม่น้ำโขงอีกมาก ภาคอีานในความคิดของผมนั้นถือว่าเป็นภาคที่มีศักยภาพในการพัฒนาสูงมาก บางทีเมื่อวางมือจากโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดผมอาจลงไปลุยที่อีสานอยางจริงจัง" เขาบอกกับ "ผู้จัดการ" ก่อนหยอดลูกเล่นอีกว่า
"แล้วเดี๋ยวก็มีคนบอกว่าผมไปกว้านซื้อที่ดินแถวอีสานกันอีก"
สิ่งที่จะเป็นดัชนีชี้ทิศทางการก้าวเดินในชีวิตของดร.สาวิตต์ โพธิวิหค ว่าจะเป็นไปในรูปใดนั้นคงต้องรอดูผลการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรในวันที่ 24 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้เสียก่อนว่า รัฐบาลชุดใหม่จะอยู่ภายใต้การนำของใคร
หากรัฐบาลชุดใหม่ยังกุมบังเหียนโดยคนคอเอียงเสียงดีชื่อพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็แทบจะพูดได้เลยว่า อนาคตในการเป็นข้าราชการของดร.สาวิตต์นั้นสดใสเปล่งปลั่งแน่นอน แต่ถ้าคนคอเอียงเสีงดีมีอันต้องหล่นไปจากเวทีประวัติศาสตร์ ไม่แน่เหมือนกันว่าดร.สาวิตต์ อาจต้องกลับมานั่งทบทวนจังหวะก้าวของตนเองเสียใหม่
เพราะแปดปีที่ "ป๋าเปรม" เป็นนายกรัฐมนตรี และหกปีที่ "ป๋าเปรม" สนับสนุนให้เกิดโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด เป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้เหมือนกันว่า หลายครั้งหลายหนความคิดของลูกป๋าที่ชื่อสาวิตต์นั้นได้ไปขวางทางเท้าของคนหลาย ๆ คนเข้าโดยไม่เจตนา
แต่ยังไงก็ยังอยากจะเชื่อว่า ความพยายามที่เขามุ่งมั่นผลักดันให้โครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดไม่เป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ได้ส่วนหนึ่งแล้วนั้น ย่อมเป็นการรับประกันคุณภาพของเขาได้ในระดับหนึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นโดยไม่ต้องใส่ใจเลยว่าใครจะก้าวเข้ามาเป็นรัฐบาล
หรือถ้ามันจะมีอะไรบิดเบี้ยงขึ้นมาคนที่มีความรู้และมีประสบการณ์เหลือเฟืออย่างเขาซึ่งยังมีศักดิ์เป็นน้องเขยของนายแบงก์ใหญ่กสิกรไทย "บรรยงค์ ล่ำซำ" และยังมีเพื่อนรุ่นพี่ที่ซี้กันมากสมัยเป็นนักเรียนในหุบเขาที่อินเดียอย่าง "ธารินทร์" นิมมานเหมินทร์" ผู้จัดการใหญ่แบงก์ไทยพาณิชย์แน่นอนล่ะว่ากำลังสนับสนุนเหล่านี้คงพร้อมทุกเวลาที่จะเกื้อกูลดร.สาวิตต์ ให้ออกมาพิสูจน์ความสามารถบนหนทางธุรกิจการค้าอย่างเต็มตัว
แล้วเมื่อนั้นคงได้รู้ว่าวิศวกรเจ้าความคิดอย่างดร.สาวิตต์ ที่บอกอยู่เสมอ ๆ ว่าตนเองไม่ประสีประสาในการทำธุรกิจ แต่กล้าที่จะไปลงทุนทำรีสอร์ทระดับเกรด เอ. ในพื้นที่ที่ยังไม่มีใครหาญกล้าเข้าไปนั้น เขาพูดเป็นเรื่องตลกหรือว่ามีกึ๋นลับลมคมในซ่อนเร้นอยู่
จนถึงเวลานั้นบางทีเราอาจได้รู้ว่า ที่ตั้งข้อสงสัยกันมาตลอดว่าคนเช่นดร.สาวิตต์จะมีส่วนได้-ส่วนเสียกับโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดในแง่ธุรกิจการค้านั้นมันเป็นความจริงใช่หรือไม่!?
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|