แบงก์กรุงไทยประกาศกร้าวขอเป็นแชมป์ตลาดบัตรเครดิตหลังลดฐานรายได้ผู้ถือบัตรเครดิตเหลือ
7,500 บาทต่ำสุดในระบบ หวังเบียดซิตี้แบงก์และแบงก์คู่แข่ง คาดปี 46 ฐานบัตรเพิ่ม
1 ล้านบัตร
ด้านแบงก์อื่นยังสงวนท่าทีคงฐานรายได้ผู้ถือบัตร 10,000 บาท ยอมรับผลของเกณฑ์แบงก์ชาติทำให้ฐานลูกค้า
บัตรเครดิตเพิ่มขึ้นรวม 6 ล้านคน ชี้ทุกค่ายมีช่องทางเจาะตลาดลูกค้าได้อีกเพียบ
ภายหลังที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ได้ประกาศยกเลิกเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำของผู้ขอมีบัตรเครดิต รวมถึงการออกบัตรเสริม
และให้ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งเป็นผู้กำหนดคุณสมบัติของผู้ถือบัตรเครดิตเอง
แต่ธนา-
คารพาณิชย์จะต้องมีระบบบริหารความเสี่ยงตามที่ธปท.กำหนดนั้น
นายนิวัตต์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทบัตร กรุงไทย จำกัด ในเครือธนาคารกรุงไทย
จำกัด (มหาชน) KTB
กล่าวอย่างชัดเจนว่าบริษัทได้ปรับลดเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำผู้ถือบัตรเครดิตกรุงไทยลงเหลือ
7,500 บาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้า เพิ่มขึ้นอีกมาก
และการปรับครั้งนี้บริษัทไม่ได้มองที่ธุรกิจบัตรอย่างเดียว แต่เป็นการวางแผนรองรับการแปรรูปบริษัท
ซึ่งต้องมีการออกผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ สินเชื่อบุคคล
ซึ่งฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นก็จะรองรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท
"การปรับฐานรายได้ขั้นต่ำครั้งนี้ เพื่อต้องการแข่งขันในตลาด บนและตลาดล่าง
รวมถึงบริษัทข้ามชาติ อาทิ อิออน จีอีแคบปิตอล โดยจุดมุ่งหมายนั้นบริษัทต้อง
การเป็นที่ 1 ของตลาดบัตรเครดิต"
นายนิวัตต์กล่าว
พร้อมระบุว่าในปี 2546 ธนาคารตั้งเป้าไว้มีฐานบัตรเครดิตจำนวน 1 ล้านบัตร
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันหลังประกาศใช้กลยุทธ์ฟรีค่าธรรมเนียมตลอดชีพมีผู้สมัครขอมีบัตรของบริษัท
6,000-10,000
บัตรต่อวัน ทำให้ต้องปรับขบวนการ ทำงานใหม่ และคาดว่าผู้สมัครจะได้รับการอนุมัติบัตรภายใน
1 เดือน เป็นอย่างช้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ต่างได้มีการปรับปรุง เกณฑ์เกี่ยวกับฐานรายได้ขั้นต่ำของผู้ถือบัตรเครดิตลงแล้วเป็นส่วนใหญ่
ยังคงเหลือที่ยังไม่ปรับเพียง 2-3 ธนาคารเท่านั้น
ซึ่งธนาคารเหล่านั้นอยู่ระหว่างการ เตรียมการปรับซึ่งคาดว่าภายในเดือนพฤษภาคมคงจะมีการปรับทั้งหมด
ส่วนอัตราที่ปรับลงนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการรองรับความเสี่ยงของแต่ละธนาคารซึ่งแตกต่างกัน
"ประเด็นที่สำคัญถึงแม้ธนาคารพาณิชย์จะมีฐานลูกค้าบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น
แต่แนวทาง ที่ทุกธนาคารต้องการคือ การผลักดันอัตรการหมุนเวียนใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้น
ซึ่งแม้ขณะนี้จะมีโปรโมรชั่นออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นแต่ความหยั่งยืนของการใช้ของลูกค้า
จะเป็นอย่าไรหากหมดหน้าโปรโมรชั่น ขณะเดียวกันผู้บริโภคยังให้ความสำคัญต่อภาวะเศรษฐกิจอยู่"
รีวิวฐานรายได้แต่ละแบงก์
ธนาคารที่ปรับฐานรายได้ของผู้ถือบัตรลงต่ำมากในตอนนี้คือธนาคารกรุงไทยปรับลดจากฐานรายได้เดิม
15,000 บาทเหลือ 7,500 บาท เท่ากับธนาคารซิตี้แบงก์ ธนาคารกรุงเทพปรับลดจาก
15,000
บาทเหลือ 10,000 บาท เช่นเดียวกบธนาคารทหารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาและธนาคารนครหลวงไทย
ที่ปรับลดจาก 15,000 บาทเหลือ 10,000 บาท
สำหรับธนาคารที่ยังไม่ได้ปรับลดเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำผู้ถือบัตรแต่อยู่ระหว่างการดำเนิน
ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมจะดำเนินการ ได้ คือธนาคารกสิกรไทยจะปรับลดจาก
15,000 บาทเหลือ
10,000 บาทโดยคาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาผลลัพธ์จากการปรับลดเหลือ 10,000
บาทประมาณ 2 ปีหากปรากฏว่าไม่มีปัญหาอาจมีการปรับลดให้ต่ำกว่า 10,000 บาท
ขณะที่ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดนครธนยังอยู่ที่ 15,000บาท แต่เตรียมปรับลดเหลือ
10,000 บาท และมีการนำโปรโมชั่นฟรีค่าธรรมเนียมตลอดชีพมาใช้เช่นเดียวกับที่ธนาคาร
กรุงไทยใช้ในเวลานี้
ส่วนธนาคารไทยธนาคารยังไม่มีนโยบายที่จะทำธุรกิจบัตรเครดิต เพราะธนาคารได้ประกาศนโยบาย
และทิศทางชัดเจนในการเป็นโฮลเซลแบงกิ้ง ขณะที่ธนาคารน้องใหม่คือธนาคารธนชาตนั้น
ยังไม่สามารถทำธุรกิจ บัตรเครดิตได้เพราะติดที่ต้องดำเนินการตามกฏเกณฑ์ที่ตกลงไว้กับธปท.
โดยอย่างน้อย 5 ปี ไปแล้วจะสามารถทำได้แต่ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อม ของธนาคารด้วย
ปัจจุบันแม้แต่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์กับบัญชีเงินฝากกระแสรายวันก็จะต้องรอให้ผ่าน
1 ปีขึ้นไปก่อน และทุกอย่างที่จะดำเนินการต้องขออนุญาตจากธปท.
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งเปิดเผยว่า ขณะนี้กฎเกณฑ์ของธปท.ที่คุมเกี่ยวธุรกิจบัตรเครดิตได้ยกเลิกไปแล้ว
ส่วนหนึ่งทำให้ธนาคารธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัวมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจดังกล่าว
ต่อไปผู้บริโภคจะมีทางเลือกมากขึ้น
การให้บริการของแต่ละธนาคารจะมีรายละเอียดที่น่าสนใจหลากหลายมากขึ้น อาทิ
บางแห่งอาจปรับฐานรายได้ขั้นต่ำลงมากแต่อาจจะมีสิทธิประโยชน์สำหรับ ผู้ถือบัตรน้อยลง
ขณะที่บางแห่งนั้นจะชูเรื่องสิทธิประโยชน์ผู้ถือบัตรเป็นสิ่งจูงใจในการรักษาฐานลูกค้าเก่าและขยายฐานลูกค้าใหม่
ลูกค้าเพิ่ม 6 ล้านคนแบงก์เลือกดูด
สำหรับกรณีที่ธนาคารใหญ่อย่างธนาคารกรุงไทย ได้ปรับลดฐานรายได้ขั้นต่ำลงค่อนข้างมากนั้น
ยอมรับว่าคงจะสามารถขยายฐานลูกค้า ได้มาก
แต่คงไม่ถึงกับทำให้ธนาคารพาณิชย์ที่ปรับลดลงน้อยกว่าเสียโอกาสหรือหมดโอกาสในการที่จะขยายฐานลูกค้า
เพราะจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ยกเลิกการคุมธุรกิจบัตรเครดิต ได้ส่งผลให้จำนวนของผู้บริโภคที่สามารถมีบัตร
หรือเรียกว่าตลาดของธุรกิจบัตรเครดิตขยายตัวเพิ่มขึ้นมากจากที่แต่เดิมฐานรายได้ขั้นต่ำ
15,000 บาทนั้นผู้มีสิทธิ์ถือบัตรเครดิตในตลาดมีประมาณ 2 ล้านคน แต่หลังจากเลิกคุมแล้วคาดว่าตัวเลขผู้สามารถมีบัตรได้หากคิดคำณวนจากตัวเลขฐานรายได้ประมาณ
8,000-10,000 บาทนั้น
มีประมาณ 6 ล้านคน ทีเดียว
"ยอมรับว่าการเลิกเกณฑ์ของธปท.ส่งผลให้ธนาคารมีโอกาสในการขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น
แต่ที่ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ยังไม่กล้าที่จะลดฐานรายได้ขั้นต่ำลงมากนัก
เพราะยังเป็นห่วงเรื่องความเสี่ยง ซึ่งเรื่องนี้เป็นความสามารถของแต่ละธนาคาร
ที่จะมีวิธีการจัดการความเสี่ยงได้อย่างไร ธนาคารแต่ละแห่งย่อม มีความสามารถในการรองรับความเสี่ยงไม่เหมือนกัน
ดังนั้น ภาพรวมของตลาดธุรกิจบัตรเครดิตนับจากนี้ไปจะมีความคึกคัก สินค้ามีความหลากหลายมากขึ้น
แต่ธนาคารต้องไม่ยอม
ให้ประวัติศาตร์ซ้ำรอยเกิดหนี้เอ็นพีแอลจำนวนมากดังที่เคยเกิดขึ้นมากแล้ว"
แหล่งข่าวกล่าว