"แสนสิริ"ดึงกลยุทธ์จ่ายผลตอบแทนหันตุนบ้านปล่อยเช่าหวังลดความเสี่ยงธุรกิจ


ผู้จัดการรายวัน(29 มีนาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

"แสนสิริ" โชว์ยอดขาย "แสนสิริ สุขุมวิท" ราคาพุ่ง 30% หลังเปิดขายไม่นาน พร้อมตุน 15 ยูนิต ปล่อยเช่าสร้างรายได้ระยะยาวลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ดึงกลยุทธ์ให้ผลตอบแทนช่วยดันยอดขาย สร้างความมั่นใจลูกค้า เจาะตลาดนักลงทุน คาดกำไรจากการขาย 30% ยันยังไม่คิดใช้กลยุทธ์นี้ในโครงการบ้านเดี่ยว

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวในการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวแสนสิริ สุขุมวิท ว่า โครงการนี้มีพื้นที่ 40 ไร่เศษ มูลค่าขาย 3,500 ล้านบาท จำนวน 96 ยูนิต มูลค่าการลงทุน 2,800 ล้านบาท ใช้เงินกู้ในสัดส่วน 1 ต่อ 1 หรือประมาณ 1,400 ล้านบาท จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด ปัจจุบันบ้านในโครงการทั้งหมดก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และมียอดจองซื้อบ้านในโครงการแล้ว 30% หรือประมาณ 13-14 ยูนิต

โดยแบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 โซน ประกอบด้วย โซนแรก ซึ่งจัดให้เป็นบ้านปล่อยเช่าจำนวน 25 ยูนิต ซึ่งจะปล่อยเช่าให้กับลูกค้าในทุกกลุ่ม ทั้งนี้ส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้าที่เข้ามาเช่าบ้านจะเป็นลูกค้าชาวต่างชาติ และนักธุรกิจข้ามชาติที่เข้ามาทำงานและท่องเที่ยว ซึ่งไม่สามารถจะซื้อบ้านในประเทศไทยได้เนื่องจากกฎหมายไม่เปิดช่องให้ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของที่ดินในประเทศได้ โดยระดับราคราปล่อยเช่าเริ่มต้นที่ 1.5-2.5 แสนบาทต่อเดือน ซึ่งขณะนี้จำนวนบ้านทั้ง 25 ยูนิตมีการทำสัญญาปล่อยเช่าหมดทั้ง 100% แล้ว ส่วนอายุสัญญาเช่านั้นจะเริ่มตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป

"การที่บริษัทแบ่งให้มีโซนบ้านเช่านั้นเนื่องจากต้องการให้บริษัทมีรายได้ส่วนหนึ่งที่แน่นนอนในระยะยาวเพื่อลดความเสี่ยง และส่วนหนึ่งเป็นเพราะตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการบ้านเช่าในระดับนี้ โดยเฉพาะลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยและต้องการเช่าบ้านที่มีการบริการเต็มรูปแบบในลักษณะโครงการแบบปิด ซึ่งจากการเปิดให้เช่าในโครงการนี้นับว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะจนถึงขณะนี้แม้ว่ามีลูกค้ามาทำสัญญาเช่าเต็มหมดแล้วแต่ก็ยังมีลูกค้าอีกจำนวนมากที่รอคิวเช่าต่ออยู่" นายอภิชาติกล่าว

นายอภิชาตกล่าวว่า ส่วนโซนที่ 2 เป็นโซนของการปล่อยขายให้กับนักลงทุนในลักษณะการันตีรายได้ตอบแทนจากการปล่อยเช่า หรือการขายยีลด์ ว่าเมื่อลงทุนซื้อบ้านในโครงการแล้วหากปล่อยเช่าจะมีรายได้ และผลกำไรคุ้มค่ากับการลงทุนแน่นอน ซึ่งในส่วนนี้บริษัทจะการันตีกับลูกค้าที่ซื้อบ้านเพื่อปล่อยเช่า หรือลงทุนว่าจะมีผลตอบแทนที่สูงกว่าราคาบ้าน 5% โดยบริษัทจะรับหน้าที่หาลูกค้าเข้ามาเช่าบ้าน และรับประกันว่าค่าเช่าหรือผลตอบแทนจะได้รับสูงกว่าการฝากเงินในธนาคารที่มีดอกเบี้ยเงินฝากในปัจจุบันค่อนข้างต่ำ โดยบริษัทจะคิดค่าบริการในการจัดหาลูกค้าให้ในครั้งแรกประมาณครึ่งหนึ่งของอัตราค่าเช่า

ทั้งนี้ อัตราค่าเช่าดังกล่าว เมื่อนำไปจ่ายผ่อนส่งบ้านบวกกับอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้กับสถาบันการเงินที่ลูกค้าขอกู้แล้วยังเหลือในส่วนที่เป็นกำไรจากการปล่อยกู้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างคุ้มค่ามาก สำหรับบ้านในโซนที่ 2 ที่ขายในลักษณะขายยีลด์นี้ มีจำนวน 15 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 30-55 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะมีกำไรจากการขายโครงการนี้ที่ 30% และจะมีการเปิดตัวและเปิดการขายอย่างเป็นทางการบ้านในโซนดังกล่าวในเดือนเมษายนนี้

สำหรับโซนที่ 3 จะเป็นบ้านโซนที่ปล่อยขายโดยเฉพาะ มีจำนวน 56 ยูนิต มีแบบบ้านให้เลือก 4 แบบ ประกอบด้วย แบบไทป์ A ขนาดพื้นที่ 560 ตารางเมตร แบบไทป์ B ขนาดพื้นที่ 490 ตารางเมตร แบบไทป์ C ขนาดพื้นที่ 437 ตารางเมตร และแบบไทป์ D ขนาดพื้นที่ 394 ตารางเมตร มีราคาขายเริ่มต้นที่ 30-55 ล้านบาทเช่นกัน

นายอภิชาติกล่าวว่า โครงการนี้นับเป็นโครงการแรกที่บริษัทได้นำกลยุทธ์ในการบริหารโครงการแบบขายยีลด์มาใช้ เพื่อขายให้กับกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักลงทุนนักเก็งกำไร ซึ่งนับว่าเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดในลูกค้ากลุ่มนักลงทุนเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ในโครงการต่อๆ ไปคิดว่าบริษัทจะไม่นำกลยุทธ์แบบขายยีลด์มาใช้อีกเนื่องจากยังไม่เห็นว่าจะมีที่ดินผืนใหญ่ ในทำเลใดที่มีความเหมาะสม และจะสามารถใช้กลยุทธ์การขายยีลด์ได้ เพราะโครงการที่จะทำการขายในลักษณะนี้ได้ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกแวดล้อมโครงการอย่างครบถ้วน ส่วนในโครงการคอนโดมิเนียมนั้น บริษัทก็ยังไม่มีแผนที่จะนำกลยุทธ์ขายยีลด์เข้าไปใช้


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.