ทศ จิราธิวัฒน์ โชว์วิสัยทัศน์ ปั้น"เซ็นทรัลรีเทล"สู่มหาชน


ผู้จัดการรายวัน(14 พฤษภาคม 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

"ทศ จิราธิวัฒน์" โชว์วิสัยทัศน์หลังจากเข้ารับตำแหน่ง กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่นได้เพียงเดือนเศษ วางเป้าหมายเป็นผู้นำ ค้าปลีกทุกกลุ่มธุรกิจ เผยอีก 10

ปีข้างหน้าเซ็นทรัลรีเทลหนีไม่พ้นการเป็นบริษัทมหาชน

นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ ใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซี เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์การบริหารงานของซีอาร์ซี

เป็นครั้งแรกหลังจากที่เข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ได้เพียงเดือนเศษว่า ซีอาร์ซี เข้าสู่ยุคการบริหารงานในช่วง ที่สาม ภายใต้การปรับโครงสร้างใหญ่ของเซ็นทรัลกรุ๊ปเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 4

มีนาคม 2545 โดยได้ดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ในตระกูลจิราธิวัฒน์เข้ามาบริหารกลุ่มธุรกิจที่แบ่งออก เป็น 5 กลุ่ม คือ เซ็นทรัลรีเทล โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจค้าส่ง และฟาสต์ฟูด

สำหรับกลุ่มเซ็นทรัลรีเทลนั้น นายทศ ได้วางนโยบายที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกในแต่ละธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ โดยปัจจุบันเซ็นทรัลรีเทล ได้แยกธุรกิจออกเป็น Business Unit ประกอบด้วย

ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล โรบินสัน เซน เพาเวอร์บาย ซูเปอร์สปอร์ต บีทูเอส โฮมเวิร์ค ออฟฟิศเดโป้ มาร์คแอนด์สเปนเซอร์ จัส25 และ เรดดอท

"แต่ละกลุ่มธุรกิจเรามองว่าเป็นแบรนด์ๆหนึ่ง แต่ละแบรนด์จะต้องทำให้เป็นที่ 1 ใน ด้านส่วนแบ่งการตลาดและต้องเป็นที่ 1 ในใจของ ผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันเราก็เป็นที่ 1

เกือบหมดทุกประเภทแล้วยกเว้นโฮมเวิร์ค ที่เซ็นทรัลเปิดตัวทีหลังโฮมโปร ที่เป็นผู้นำอยู่ในขณะนี้"

นายทศ กล่าวว่า ในการวางเป้าหมายเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกนั้น เซ็นทรัลรีเทล จะเป็นผู้นำได้เฉพาะกลุ่มธุรกิจประเภท non-food เท่านั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้เซ็นทรัลรีเทล มีหุ้นอยู่ในท็อปส์

ซูเปอร์มาร์เก็ต และบิ๊กซี แต่ในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ได้เปิดโอกาสให้พันธมิตรจากต่างชาติเข้ามาเพิ่มทุนและถือหุ้นใหญ่แทน ทำให้เซ็นทรัลรีเทลต้องตัดกลุ่มสินค้าประเภทอาหารออกไป

"หากเราไม่ตัดกลุ่มธุรกิจอาหารออกไป เซ็นทรัลรีเทลก็เป็นผู้นำในธุรกิจรีเทลทั้งในประเทศและในระดับภาคพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก หากเราอดทนรออีกเพียง 2

ปีหลังเกิดวิกฤตโดยไม่ต้องเพิ่มทุนก็คงไม่ต้องเสียสองกลุ่มธุรกิจนี้ออกไป อย่างไรก็ตามในวันนี้เราก็ยังทำงานในฐานะที่เป็นพันธมิตรกับท็อปส์และบิ๊กซีได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร"

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ เซ็นทรัลรีเทล ซึ่งมีผลประกอบการด้านยอดขายประมาณ 38,000 ล้านบาท ยังไม่ถือว่าเป็นผู้นำในธุรกิจ เมื่อเทียบกับยอดขายของเทสโก้โลตัสที่มีกว่า 40,000 ล้านบาท

ซึ่งเป้าหมายของเซ็นทรัลรีเทล ต้องเป็นบริษัทชั้นนำที่มีผลประกอบการดี มีการเติบโตต่อเนื่อง มีกำไร ธุรกิจอยู่ได้อย่างเข้มแข็งและเป็นผู้นำตลาด รวมทั้งพนักงานของเซ็นทรัล ที่มีกว่า 20,000

คนจะต้องทำงานอย่างมีความสุข นี่คือเป้าหมายที่นายทศ ได้ตีกรอบไว้ในช่วง 2-3 ปีนี้

ด้านการบริหารงานนั้น หลังจากที่นายทศ ขึ้นเป็นผู้นำระดับสูงสุดของเซ็นทรัลรีเทลแล้ว เขากล่าวว่า การทำงานก็ยังเหมือนเดิม เพราะทำงานอยู่ในกลุ่มเซ็นทรัลรีเทลมานานถึง 10 ปี

ต้องทำงานเองในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะธุรกิจใหม่ที่เกิดจากตัวเขาเองด้วยนั้น จะลงมือทำเองทั้งหมด เช่น ธุรกิจบีทูเอส ซึ่งเป็นร้านขายหนังสือและเครื่องเขียน และโฮมเวิร์ค ร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน

แต่เมื่อขึ้นมาเป็นผู้บริหาร นายทศ ได้เปิดโอกาสให้ผู้บริหารและพนักงานในระดับผู้จัดการ เสนอแนะข้อคิด รวมทั้งวางเป้าหมายที่จะสร้างการเติบโตในธุรกิจที่ทำอยู่ให้มากขึ้น

โดยเขาทำหน้าที่เพียงผู้สนับสนุนเพื่อให้เป้าหมายที่ระดับปฏิบัติการเสนอขึ้นมานั้นสามารถเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จได้ตามเป้าหมายนั้น

โดยวัฒนธรรมองค์กรที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในขณะนี้ก็คือการจัดให้มี CEO Lunch เป็นประจำทุก 2 สัปดาห์ ซึ่งนายทศ จะเชิญผู้บริหารระดับผู้จัดการ ที่มีอยู่ประมาณ 2,000 คน

เข้ามาร่วมรับประทานอาหารครั้งละ 20 คน เพื่อศึกษาความต้องการของผู้จัดการ รวมทั้งการรับฟังปัญหาและแนวทางกรแก้ไข เพื่อ ให้เกิดการสื่อสารระหว่างคนภายในองค์กรให้มากขึ้น

ซึ่งจะทำให้ทุกคนทำงานได้ง่ายขึ้นและมีความสุขกับการทำงาน

อย่างไรก็ตาม นายทศ ได้กล่าวว่า แม้ว่าจะขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงสุด แต่อำนาจการตัดสินใจก็ยังขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหาร ซึ่งมีคนรุ่นก่อนหน้านี้ หรือเป็นผู้บริหารรุ่นที่สองของตระกูลจิราธิวัฒน์

อาทิ สุทธิชาติ และสุทธิธรรม เป็นกรรมการบริหาร ส่วนผู้บริหารรุ่นแรก อาทิ วันชัย ก็จะเป็นคณะกรรมการชุดใหญ่ที่ ทำหน้าที่ในการดูแลนโยบายของเซ็นทรัลกรุ๊ปในภาพรวม

เป็นผู้ดูแลและรักษาผลประโยชน์ให้แก่ผู้ถือหุ้นและของคนในตระกูลจิราธิวัฒน์ด้วย

"เป้าหมายในระยะยาวของเซ็นทรัลรีเทล คงหนีไม่พ้นเรื่องการเปลี่ยนเปลงตัวเองสู่การเป็นบริษัทมหาชน เพราะในวันนี้ตระกูลจิราธิวัฒน์ใหญ่ขึ้นมีจำนวนสมาชิกกว่าร้อยคน

แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนในตระกูลจะได้เข้ามาบริหารทั้งหมด เราจะเลือกตามความเหมาะสมและความสามารถ

หากคนในตระกูลไม่มีความสามารถก็ต้องเปิดโอกาสให้คนนอกที่มีความสามารถเข้ามาบริหารแทน"

ซึ่งในปัจจุบันเซ็นทรัลรีเทลก็มีคนนอก เข้ามาบริหารงานหลายคน อาทิ นายปรีชา เอกคุณากูล ดูแลบีทูเอส นายประวิทย์ อนันตวราศิลป์ ดูแลเพาเวอร์บาย เป็นต้น

และในอนาคตอาจมีคนอื่นเข้ามาร่วมบริหารงานอีก

สำหรับการขยายธุรกิจของเซ็นทรัลรีเทลนั้น นายทศ กล่าวว่า เป็นไปได้หลายแนวทาง เช่นการทำธุรกิจที่มีอยู่ให้มีผลกำไรมากขึ้น การขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ

หรือหากไม่สามารถขยายงานได้และการบริหารงานในกลุ่มธุรกิจอาหารของท็อปส์ และบิ๊กซี ไม่สอดคล้องกับเซ็นทรัลรีเทล ก็มีความเป็นไปได้ที่เซ็นทรัลรีเทล จะเข้าไปซื้อหุ้นของทั้งสองธุรกิจเพื่อเป็น

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่และบริหารงานแทนซึ่งจะทำให้ธุรกิจขยายตัวได้อีกแนวทางหนึ่ง แต่ในที่สุดแล้วเซ็นทรัลรีเทล ในอีก 10 ปีข้างหน้าก็จะหนีไม่พ้นการเป็นบริษัทมหาชน

เพื่อให้ธุรกิจของเซ็นทรัลรีเทลมีการเติบโตต่อไป



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.