|
ศึกครั้งนี้สำหรับนักค้าอาวุธ ยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 เสียอีก
นิตยสารผู้จัดการ( มีนาคม 2531)
กลับสู่หน้าหลัก
สงครามบ้านร่มเกล้านับเป็นการสูญเสียร้ายแรงในรอบสิบปี !!!
ราคาความเสียหายเฉพาะด้านอาวุธยุทธภัณฑ์ประเมินกันคร่าว ๆ ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท เอากันแค่เครื่องบิน เอฟ. 5 อี. และโอวี. 10 ที่ถูกสอยร่วงอย่างหมดพิษสงก็ปาเข้าไปแล้วอย่างต่ำ 300 ล้านบาท แล้วยังมีกระสุนปืนใหญ่และกระสุนปืนเล็กที่ลั่นออกไปจนนับนัดไม่ถ้วน
ส่วนเสียหายของกระสุนปืนเป็นเท่าไหร่นั้น ให้ดูกันที่งบประมาณจัดซื้อของกองทัพ ที่แต่ละปีจะเปิดประมูลกันในวงเงินไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งจำนวนกระสุนในวงเงินเท่านี้ พ่อค้าอาวุธคนหนึ่งบอกว่า มันไม่พอกับความต้องการใช้ในสงครามเต็มรูปแบบอย่างที่บ้านร่มเกล้าแน่นอน
"การสู้รบที่ร่มเกล้ากระสุนปืนของเราไม่พอใช้จริง ๆ" แหล่งข่าวจากกรมสรรพาวุธเปิดเผยกับ "ผู้จัดการ" ซึ่งถ้ารูปการณ์เป็นเช่นนี้มีความเป็นไปได้มากกว่ามูลค่าความเสียหายของกระสุนปืน น่าจะสูงกว่า 200 ล้านบาท และมูลค่ารวมก็ควรมากกว่า 500 ล้านบาท ที่ประเมินกันไว้
ก็ไม่น่าตกใจเมื่อไม่สามารถใช้วิธีการด้านอื่นยับยั้งสงครามไม่ให้เกิดขึ้นมาได้ ???
เพื่อปกป้องแผ่นดินและเกียรติภูมิของชาติ บางครั้งสงครามก็เป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ เป็นเรื่องที่เสียก็ต้องยอมเสียกัน !!!
โดยปกติประเทศยามสันติก็มีการเสริมสร้างดุลอำนาจทางการทหารอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่งผ่านสงครามมาหมาด ๆ จึงเป็นที่น่ามองว่ากองทัพจะวิเคราะห์สถานการณ์ในอนาคตว่าเป็นอย่างไร ถ้าสรุปว่าโอกาสที่ประเทศไทยจะตกเป็นเหยื่อทฤษฎีโดมิโนตัวสุดท้ายแล้ว จะมีการตัดสินเป็นกรณีพิเศษอะไรบ้างเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กองทัพ
พูดให้ง่ายเข้าน่าจะเชื่อได้มากกว่าทั้งในระยะสั้น และยาวการเสริมเขี้ยวเล็บให้กับกองทัพเป็นสิ่งที่จะต้องแข็งขันขึ้น
และการทำอย่างนั้นได้คงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ "คำขู่" หรือ "ข่าวคราวเชิงจิตวิทยา" ที่จะเขียนเสือให้วัวกลัวอย่างเดียวเท่านั้น กล่าวโดยในแง่รูปธรรมทางเลือกหนึ่งที่กองทัพจะเสนอก็คือ "การทุ่มงบประมาณเพื่อพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้มีคุณภาพมากขึ้น"
ถ้าความไม่ประมาทเป็นฐานที่ตั้ง การตัดสินใจของกองทัพในลักษณะนี้ ก็ไม่ผิดเสียทีเดียว ไม่ว่าข้อมูลด้านต่าง ๆ จะสรุปกันอย่างลุ่มลึกและสมเหตุสมผลเพียงไหนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว
ถูกล่ะที่ว่า หลังสงครามผ่านพ้นไปผลพลอยได้น่าจะเป็นความพอใจของใครบางคน!!??
โดยเฉพาะคนที่น่าจะพอใจมากที่สุดก็คือ "พ่อค้าอาวุธ" ทั้งหลายนั่นเอง "ผู้จัดการ" ทราบว่าจากสงครามบ้านร่มเกล้า แม้ว่าจะยังอยู่ในภาวะคำสั่ง "เขตทหารห้ามพ่อค้าอาวุธเข้ามา" แต่ก็ไม่อาจยับยั้งพ่อค้าบางคนที่พยายามเปิดประตูหน้า เข้าประตูหลัง เพื่อฟื้นความสัมพันธ์กับนายทหารใหญ่บางคนได้เสียแล้ว
พวกเขากำลังวิ่งเต้นกันจนขาแทบจะขวิดกันอยู่แล้ว !!!
ถึงอย่างไรก็ตามหากว่าจะยังไม่มีการตัดสินใจกรณีพัฒนาอาวุธออกมาในอนาคตอันใกล้ แต่พ่อค้าอาวุธก็ยังได้รับผลประโยชน์จากสงครามบ้านร่มเกล้าอยู่ดี เนื่องจากต้องมีการปรับปรุงซ่อมแซมบรรดาอาวุธที่ถูกทำลายต่าง ๆ เหล่านั้นให้มีสภาพดีดังเดิม
ซึ่งว่าไปแล้วหัวใจของธุรกิจค้าอาวุธ ไม่ได้อยู่ที่การขายตัว "อาวุธ" อย่างที่หลายคนเข้าใจ ทว่าผลกำไรแท้จริงอยู่ตรงการขาย "สแปร์พาร์ท" (Spare Part) เสียมากกว่า เนื่องจากค่าคอมมิชชั่นในการขายตัวอาวุธนั้นเฉลี่ยแล้วไม่เกิน 2% ขณะที่ค่าคอมมิชชั่นของการขายสแปร์พาร์ทสูงมากถึง 15%
ประเด็นนี้ล่ะที่พ่อค้าอาวุธต้องออกแรงสร้างความผูกขาดสินค้าของตัวเองกับกองทัพให้ได้ ไม่ว่าจะต้องเสียค่าเปิดปากถุง หรือค่าเลี้ยงดูปูเสื่อให้กับคนที่มีอำนาจตัดสินใจเป็นอัตราส่วนถึง 2-3% ของราคาอาวุธแต่ละชิ้นก็ตามที !!!
แม้ว่าช่องทางขายอาวุธปัจจุบันจะนิยมซื้อขายกันในแบบ "จีทูจี" แต่บทบาทความสำคัญของ "เอเย่นต์" ในแต่ละประเทศยังคงมีดุจเดิม เพราะคนพวกนี้สามารถให้ความสะดวกในการวิ่งเต้นเสนอขายและบริการหลังการขายที่สะดวกกว่าบริษัทผู้ผลิตจะดำเนินการเสียเอง
ใน 40 กว่ารายที่รายล้อมชิ้นปลามันนั้น เอากันเข้าจริง ๆ มีที่น่าเชื่อถือและมีผลงานพอที่จะกล่าวได้ว่าเป็นพ่อค้าอาวุธชั้นแนวหน้าจริง ๆ ไม่เพียงกี่สิบราย !!!
เนาวรัตน์ พัฒโนดม
ไม่มีใครในธุรกิจนี้ไม่รู้จักชื่อของเขา ความเป็น "เจ้าพ่อ" ของวงการของเขานั้นมีใบรับประกันอยู่บ่อย ๆ กระทั่งล่าสุดที่สามารถขายรถถังสตริงเรย์มูลค่า 4,000 ล้านได้สำเร็จ "ช่วงเกิดสงครามเขาไม่อยู่ในกรุงเทพฯ เลย ผมว่าคุณเนาแกเริ่มรู้จังหวะที่จะขายของได้อีกแล้ว" แหล่งข่าวคนหนึ่งกล่าว
อดีตศิษย์เก่ากรุงเทพคริสเตียนและนิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้นี้ก้าวเข้ามาในธุรกิจหมื่นล้านเมื่อปี 2509 โดยเริ่มต้นเป็นพนักงานขายกับบริษัทอาทรไสว สังขะวัฒนะ ที่เป็นนายหน้าค้าอาวุธรุ่นเก่าที่รุ่งเรืองมากในยุคถนอม-ประภาส พร้อมกันนี้เขายังเป็นพนักงานขายของมิตซุยอีกด้วย
ด้วยความเป็นคนคล่องแคล่ว มีปฏิภาณไหวพริบเฉียบขาด ลูกเล่นในการติดต่อแพรวพราว ใจถึง และกล้าได้กล้าเสียที่จะผูกรักกับคนใหญ่ในกองทัพโดยไม่อั้น และยังมีเพื่อนพ้องที่เป็นดาวรุ่งของกองทัพในขณะนั้น เพียงไม่นานนักเขาก็ถีบตัวเองขึ้นมาเป็น "มือขวา" ของเจ้าของบริษัทแล้วที่สุดก็ได้เป็นเจ้าของบริษัทเสียเองในปี 2516 บริษัทของเขาก็คือคอมเมอร์เชียล แอสโซซิเอทส์
"เขาบอกว่าไม่อยากเป็นลูกน้อง อยากเป็นพ่อค้าอาวุธชื่อดังอย่าง แอดนัน คาชอคกี้ แต่จะไม่เหมือนแอดนันตรงที่ยิ่งทำไม่ใช่ยิ่งจนลง พอดีช่วงนั้นภายในอาทร-ไสว เองก็กำลังวุ่น ๆ เขาเลยดีดตัวออกมาทำเอง" พ่อค้ารุ่นเก่าบอกให้ฟัง
คอมเมอร์เชียลฯ เริ่มต้นด้วยออฟฟิศเล็ก ๆ ย่านคลองเตย เป็นนายหน้าขายอาวุธหลายชนิดจากหลายโรงงานผลิต แต่ที่สร้างชื่อเสียงมากที่สุดคือ เป็นนายหน้าขายเฮลิคอปเตอร์ "เบลล์" ให้กับบริษัท BELL HELICOTER TEXTRON ของอเมริกา ซึ่งเครื่องบินนี้ผูกขาดใช้ในกองทัพไทยและหลายหน่วยงานราชการ คิดแล้วไม่น้อยกว่า 300 เครื่อง
ถ้าขายอาวุธกำไรตรงขายสแปร์พาร์ท แค่แต่ละเครื่องซ่อมแซมเขาก็รวยอื้อซ่าแล้ว !!!
เนาวรัตน์โชคดีมากตรงที่จังหวะเป็นของเขาอย่างเหมาะเจาะ หนึ่ง- รัฐบาลยุคนั้นมีนโยบายปันเงินซื้ออาวุธอย่างจริงจัง โดยเฉพาะรัฐบาลหอย (สมัย ธานินทร์ กรัยวิเชียร) ที่เอาใจกองทัพด้วยการอนุมัติเงินซื้ออาวุธ ในปี 2519 ถึง 20,000 ล้านบาท สอง- การเป็นนายหน้าให้ "เบลล์" เรียกว่าส้มหล่น เพราะ ฮ. ของเบลล์ใช้ประจำการในกองทัพสหรัฐฯ เมื่อสงครามเวียดนามยุติ สหรัฐฯ โอนให้กองทัพไทยใช้ต่อ ทำให้นายทหารไทยคุ้นแต่ ฮ. ยี่ห้อนี้ ครั้นพอมีนโยบายซื้อก็เลยเห็นว่าเอา "เบลล์" นี่ละดีที่สุด
เมื่อบวกกับความใจถึงที่เป็นทุนเดิมเขาขายเบลล์ให้กองทัพบกมากที่สุด ค่อย ๆ สร้างสายใยกับนายทหารผู้ใหญ่ทีละนิด เกิดการเชื่อมโยงไปยังกองทัพส่วนอื่นทีละหน่อย จนที่สุดเขาก็สามารถขายสินค้าให้กองทัพเรือเพิ่มได้อีก กลาย ๆ เป็นการกึ่งผูกขาดในระยะเวลาอันรวดเร็ว
จะมีก็แต่กองทัพอากาศเท่านั้นกระมัง ที่รัศมีของเขายังแผ่กว้างไปไม่ได้เท่าที่ควร ???
กองทัพบก - เนาวรัตน์นอกจากจะขาย ฮ. เบลล์ ให้แล้ว เขายังขายจรวดสปาต้าของอิตาลีให้กับ ปตอ. ไปได้อีกเมื่อไม่นานมานี้ แล้วยังมีรถถังสตริงเรย์มูลค่า 4,000 ล้าน ที่เป็นข่าวครึกโครมกันมากว่าเนาวรัตน์และคอมเมอร์เชียลฯ ใช้ยุทธวิธีเช่นไรจึงควบเข้าเส้นชัยได้ เชือดแม้กระทั่งบริษัทของพี่ชาย พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์
กองทัพเรือ - คอมเมอร์เชียลฯ ขายปืนติดเรือทั้งด้านหัวเรือและท้ายเรือ ตอร์ปิโดของสตริงเรย์และจรวดเอสปิเด จากอิตาลีให้กับกองทัพเรือมานานแล้ว นอกจากนี้ก็มี ฮ. ของเบลล์ด้วย (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง ฮ. เบลล์กับกองทัพเรือใน "ผู้จัดการ" ฉบับที่ 38 เดือนสิงหาคม ปี 2529)
เนาวรัตน์เป็นพ่อค้าอาวุธที่รวยที่สุด!!!
เคยมีคนพูดกันว่า เพื่อเป็นการเอาใจนายทหารผู้ใหญ่ของกองทัพ เนาวรัตน์ใจกล้ามากที่จะให้เงินเลย 5 หลัก ไว้กับคนขับรถของเขา เผื่อว่าช่วงไหนที่เขาติดธุระอยู่แล้วพอดีนายทหารเหล่านั้นผ่านมา คนขับรถจะได้บริการแทนได้ทันท่วงที ซึ่งเป็นการสร้างสัมพันธ์อย่างที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน
"แต่ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงแล้ว เขามักจะเป็นคนติดต่อด้วยตัวเอง อีกอย่างที่ยอมรับว่าเขาเก่งมากก็คืองาน "ข่าวกรอง" เขาไม่เคยพลาดเลยว่าใครจะขึ้นมาเป็นใหญ่ในยุคไหน ซึ่งเมื่อดูออกก็รีบสร้างสัมพันธ์แต่เนิ่น ๆ ดังนั้นจะเห็นว่าอย่างกองทัพบกถึงจะเปลี่ยนนายทว่าเขาก็ยังขายของได้อยู่ดี" แหล่งข่าวบอก
ปัจจุบันคอมเมอร์เชียลฯ ย้ายรังมาอยู่ที่ตึกอรกานต์ ชิดลม ส่วนตัวเขาสุขสบายอยู่ในคฤหาสน์มูลค่า 50 ล้านบาท ในซอยศูนย์วิจัย ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ และยังมีคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่อีก 2 แห่งที่ พัทยา ซึ่งเขามักจะใช้เป็นที่พักผ่อนส่วนตัวและรับแขกในวันหยุดสุดสัปดาห์ พร้อมกับเรือเร็วขนาด 30 ฟุตอีก 1 ลำ
วัย 47 ปี ของเขาเป็นนักสะสมของเก่าชื่อดังคนหนึ่ง ภายในบ้านจะประดับไปด้วยโคมไฟระย้าราคาแพงจากทั่วทุกมุมโลก แต่ที่เขาชอบมากเป็นพิเศษก็คือ มูลาโนของอิตาลี นอกจากนี้ยังเป็นนักเล่นหยกและเครื่องเฟอร์นิเจอร์ฝังมุก ปลาคาร์พ เขาก็นิยมเลี้ยง ภายในบ้านมีอยู่ประมาณ 300 ตัว ซึ่งหลายตัวเคยได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดมาแล้ว และบางตัวเขาได้มาเพราะความเป็นเจ้าหนี้
"เนาวรัตน์บอกกับคนใกล้ชิดว่า เขามีที่ดินผืนหนึ่ง 20 ไร่ตรงหัวหมาก บางกะปิ ซึ่งเป็นที่ดินที่ได้มาเพราะมีคน ๆ หนึ่งเอามาค้ำเงินกู้จากเขาไป 10 ล้านบาท แล้วก็ปล่อยให้หลุด ที่ดินผืนนี้ราคาซื้อขายในเวลานี้ถ้าจะขายจริง ๆ ก็ไม่น้อยกว่า 70 ล้านบาท
แต่เขาจะไม่ขาย!!??
"เขาเองก็รู้เหมือนกันว่าอาชีพขายอาวุธนั้น มีเสียงพูดไปในทางที่ไม่ดีเท่าไรนัก ดังนั้นจึงอยากใช้ที่ดินนี้ DIVERSIFY ออกไปทำเป็นดีพาร์ทเมนท์สโตร์ หรือไม่ก็ชอปปิ้งเซ็นเตอร์ ซึ่งเขาร่างแผนงานคร่าว ๆ เอาไว้แล้ว" แหล่งข่าวกล่าว
เนาวรัตน์มีเมีย 2 คน คนแรกเป็นสตรีมุสลิมชื่อ "วิมล" มีลูกด้วยกัน 4 คน คนที่สองเคยเป็นดาราหนังชื่อดังในความใจถึงมาแล้วคือ "เนาวรัตน์ ซื่อสัตย์" (ดารานำเรื่อง อีโล้นซ่าส์) เมียคนที่สองของเขานี้กล่าวกันว่า เขามักพาไปดูงานเรื่องอาวุธในต่างประเทศเป็นประจำ และเธอก็เป็นผู้ช่วยที่ดีของเขาเสียด้วย
เมื่อสงคราม - ธุรกิจยังคงมีความผูกพันกันร่ำไป อนาคตของเขาก็ยังสดใสเปล่งปลั่งตลอดไป !!!
อุปจิตต์ วสุรัตน์
ลูกชายคนโปรดของ อบ วสุรัตน์ อดีตรมว. อุตสาหกรรม และอดีตประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ผู้นี้เป็นเจ้าของบริษัท วีแอนด์แอสโซซิเอทส์ จำกัด ตัวแทนปืน BOFOR ซึ่งเป็นปืนใหญ่ที่กองทัพไทยใช้กันอยู่ เขาผูกขาดขายเช่นเดียวกัน
"ค่าที่เป็นลูกชายนักการเมืองชื่อดัง และพ่อเคยมีอำนาจมาก่อนในรัฐบาลทำให้การค้าอาวุธของเขาไปได้สวยมากในระยะหนึ่ง ถ้าเหตุการณ์ 9 ก.ย. เปลี่ยนโฉมบางทีเขาอาจยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่นี้ เพราะเป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าตัวเขาและพ่อรู้จักกับนายทหาร จปร. 7 เป็นอย่างดีหลายคน" แหล่งข่าวบอก
อุปจิตต์เป็นคนใจนักเลงคนหนึ่ง บทที่จะเสียเพื่อให้ได้มาซึ่งออร์เดอร์ เขาไม่เคยยี่หระ โดยปกติแล้วมีอารมณ์สนุกสนานตลอดเวลา ร้องเพลงได้เก่งโดยเฉพาะเพลงแปลงแบบทะเล้น ๆ เขาถนัดมาก และยังเป็นนักนิยมไพรตัวยง ชอบออกป่ากับนายทหารผู้ใหญ่ของกองทัพอยู่เป็นประจำ
ผลจากสงครามร่มเกล้ามีเสียงบอกว่า อุปจิตต์เตรียมรับโบนัสก้อนโตได้แล้วจากการขายกระสุนปืนใหญ่???
นิพนธ์ นิลนนท์
ย้อนกลับไปสมัยที่ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอกเป็นผล.ทบ. และ ผบ. สูงสุดคงจำกันได้ว่าได้มีการนำเอารถถังวิคเกอร์มาทดลองวิ่งโครม ๆ เพื่อพิสูจน์แสนยานุภาพ ก่อนที่จะมีการสั่งซื้อกันในลำดับต่อมา น่าเสียดายที่ว่านายทหารผู้นี้หมดอำนาจวาสนาไปเสียก่อน รถถังยี่ห้อนี้เลยต้องฝันค้าง
สำหรับคนที่เป็นนายหน้าของรถถังวิคเตอร์ในเมืองไทยก็คือ นิพนธ์ นิลนนท์ ซึ่งเป็นพ่อค้าจีนตัวเล็ก ๆ ที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มานาน นิพนธ์เป็นเจ้าของบริษัท R'SCHALLER ก่อนหน้านี้เขาเคยทำงานด้านนี้มาก่อนกับบริษัทซีโน -บริต สมัยพล.อ. อาทิตย์ กำลังเอก รุ่งเรืองเขาก็รุ่งโรจน์เป็นเงาตามตัว แต่เมื่อบิ๊กซันเดินลงจากเวที ดูเหมือนว่านิพนธ์ก็พลอยหงอยเหงาไปด้วยเช่นกัน
หลังพลาดงานกองทัพบกเกือบทุกงานในระยะหลัง ๆ เขาเริ่มเบนเข็มพุ่งไปที่กองทัพเรือ แต่ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น เนื่องจากเส้นสายเก่า ๆ สมัยที่เคยวางไว้ในยุคบิ๊กซัน ต่างถูกถอนสมอไปจนเกือบหมดสิ้น ทุกวันนี้นิพนธ์อยู่ด้วยความหวังที่ว่า ถ้าเปลี่ยน ผบ.ทบ. คนใหม่ที่ไม่ใช่สายผู้กุมอำนาจปัจจุบัน เขาอาจจะมีโอกาสอีกสักครั้ง !??
ชัชวาลย์ อัศวนนท์/สมนึก ติณสูลานนท์
ชื่อหลังนั้นเป็นพี่ชายของ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ส่วนชื่อแรกเป็นนักค้าอาวุธรุ่นกลางเก่ากลางใหม่ ทั้งสองมาประสานกันเป็นคู่แข่งของเนาวรัตน์ด้วยการเสนอตัวปรับปรุงรถถังเอ็ม -41 ซึ่งแรก ๆ มีข่าวว่ากองทัพบกมีทีท่าสนใจงานของเขาทั้งคู่ไม่น้อย แต่แล้วก็แพ้กำลังภายในของเนาวรัตน์ที่ขายสตริงเรย์ไปได้
"คุณสมนึกนั้นเพิ่งเข้ามาหลังจากที่จับงานมาแล้วหลายงาน ทว่ายังไปไม่ดีสักงาน ตอนแรก ๆ คนเห็นนามสกุลคิดว่าคงเป็นต่อ ครั้นเอาเข้าจริงมีสายตรงจากบ้านสี่เสาฯ ว่า งานประมูลอะไรนั้นไม่เกี่ยวพันกัน ทุกคนเลยเบาใจ ฐานการเงินของกลุ่มนี้ยังเคลือบแคลงมากว่ามาจากไหน บางคนว่าอยู่ในฮ่องกง" แหล่งข่าวรายหนึ่งบอก
สำหรับ ชัชวาลย์ อัศวนนท์ หรือชื่อเล่นว่า "จอร์ช" นั้นเขาตั้งฟาร์อีสต์กรู๊ปขึ้นมาเป็นตัวแทนขายเครื่องยนต์ อะไหล่ตัวถังที่จริงทั้งชัชวาลย์และสมนึกต่างก็มี CONNECTION กับผู้ใหญ่ทั้งในกองทัพและหน่วยงานราชการต่าง ๆ หลายคน แต่แปลกที่ว่ากิจการยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ อาจจะเป็นเพราะยังใจไม่กล้าพอ ตอนนี้มีข่าวว่าฟาร์อีสต์กรุ๊ปกำลังหาทางทะลวงด่านเข้าไปในกองทัพอากาศ
สมศักดิ์ เจริญลาภ
รายนี้เป็นพ่อค้าอาวุธรุ่นเก๋าอีกคนหนึ่ง เคยเป็นตัวแทนรถถังสกอร์เปี้ยน และขายเครื่องบินให้กับกองทัพบก สมศักดิ์ดังมากในยุคถนอม - ณรงค์ - ประภาส เขาขายสกอร์เปี้ยนแทบจะเป็นการผูกขาดเลยทีเดียว การทำงานส่วนใหญ่เป็นไปแบบวัน แมน โชว์ ตอนนี้ก็อาศัยกินบุญเก่าด้วยการขายอะไหล่เสียมากกว่า สมศักดิ์มีลูกสาวคนหนึ่งชื่อ "จิ๋ม" เป็น SALE EXECUTIVE มือดีของโรงแรมรีเจนท์ แต่ก็ยังไม่ได้ช่วยอะไรพ่อมากนักในการทำธุรกิจ
พ่อค้าอาวุธหลายรายบอกว่า น่าเสียดายที่สมศักดิ์ไม่สามารถอาศัยเส้นสายกลในที่สร้างไว้อย่างแน่นหนาในยุคสมัยถนอม-ประภาส-ณรงค์ ให้เกิดประโยชน์กับตัวเขาเองได้มากนักในปัจจุบัน ทั้ง ๆ ที่นายทหารใหญ่บางคนในขณะนี้ก็เคยเป็นลูกน้องคนสนิทของถนอม-ประภาส-ณรงค์ มาก่อน ในอดีต
อุดม อภิจารี
สายเลือดเดี่ยวกับ พล.อ.อ. วรนารถ อภิจารี ผบ.ทอ. คนปัจจุบันผู้นี้เป็นเจ้าของบริษัท ดีพีเอส. บริษัทนี้เพิ่งโผล่ขึ้นมาในยุทธจักรโดยเป็นนายหน้าขายเครื่องมือช่วยบิน (AVIONIC) ให้กับกองทัพอากาศโดยตรง อุดมได้ลูกชายชื่ออาทิตย์เป็นมือขวา
คนในวงการบอกว่า ดีพีเอส. พยายามที่จะเข้าประมูลซื้อขายยุทโธปกรณ์ล็อตใหญ่ ของกองทัพอากาศมาแล้วหลายครั้ง ทว่ายังไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก แม้ว่าจะพ่วงท้ายด้วยนามสกุล "อภิจารี" ก็ตามที งานที่ได้มาเป็นการขายอุปกรณ์การบินเสียเป็นส่วนใหญ่
"ผมกล้าพูดได้เลยว่า ทอ. ยุคนี้สะอาดบริสุทธิ์จริง ผบ. วรนารถเป็นคนตรงมาก ไม่เคยสนใจงานเลี้ยงหรือของขวัญที่พ่อค้าบางคนพยายามยัดเยียดให้ อย่างงานเลี้ยงงานหนึ่งที่เป็นลูกน้องเองนั้นงานนั้นทั้งที่ได้รับเชิญ แต่ปรากฏว่ามาแผล็บเดียวก็กลับบ้านไปนั่งสมาธิ อ่านหนังสือต่อ ไม่ยอมอยู่นาน เพราะรู้ดีว่างานนี้มีพ่อค้าอาวุธมาหลายคน โอ๊ย ถ้าเป็นอีกคนหนึ่งละก็พ่อค้า บางคนมีหวังสบาย ๆ เพราะรายนั้นตัวเองจัดงานเลี้ยงสักทีใหญ่จริง ๆ" แหล่งข่าวที่ค้าขายกับกองทัพอากาศรายหนึ่งบอก
เดิมทีคนที่ผูกขาดขายของให้กองทัพอากาศนั้นก็คือบริษัทนิธิพัฒนา จำกัด ของตระกูล "เผ่าศรีเจริญ" มี พัฒน์ เผ่าศรีเจริญ เป็นคีย์แมนแต่ต้องมีอันล้มเลิกไป เนื่องจากไปรับประมูลงานองค์การโทรศัพท์แล้วไม่สามารถทำให้มีประสิทธิภาพได้จนขาดทุนไปหลายสิบล้านบาท นิธิพัฒนายุคก่อนนั้น เข้าได้เป็นอย่างดีกับผู้ใหญ่ของกองทัพอากาศ
ดีพีเอส. และ อุดม อภิจารี เขาอาจอยากเดินไปบนเส้นทางสายนี้ แต่จะเป็นไปได้ไหมต้องคอยดู เพราะนี่เพิ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับเขา !!??
อุดมศักดิ์ อุชชิน
เศรษฐีม่ายเจ้าของคอกม้าชื่อดัง อดีตผู้จัดการทีมฟุตบอลชาติไทย คนนี้มีใครบ้างในวงการค้าอาวุธจะไม่รู้จัก อุดมศักดิ์หรือ "พี่น้อย" จัดเป็นพ่อค้ารุ่นเก่าที่ยังอยู่ยืนยง
บริษัทอุดมพาณิชย์ของเขาเป็นนายหน้าขายเครื่องยนต์เรือ MTU. ซึ่งเรือทุกลำของกองทัพเรือนั้นใช้เครื่องยนต์นี้ทั้งสิ้น และเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนั้น เรื่องที่กองทัพเรือจะเปลี่ยนใจไปใช้ยี่ห้ออื่น จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมีการสต็อคอะไหล่เอาไว้มาก ก็เลยเป็นเรื่องที่น่ายินดีของอุดมศักดิ์
แต่มีข่าวที่ไม่สู้ดีนักสำหรับเขาว่า กองทัพเรือยุคปัจจุบันอาจหันมาใช้เรือฟรีเกต จากประเทศจีนแทนเรือที่เคยใช้ เพราะราคาปานกลางค่อนข้างถูก ซึ่งถ้ากองทัพเรือหันมาใช้จริง ๆ ก็อาจทำให้อุดมศักดิ์ที่เคยผูกขาดมานานต้องพบกับความลำบาก
เขาไม่อยากเห็นความเป็นไปได้นี้เกิดขึ้นเลยจริง ๆ !!??
นอกจากที่พูดถึงนี้แล้ว ยังมีนักค้าอาชีพชื่อดังอีกหลายคนเช่น พรชัย โฮลด์ เจ้าของบริษัทซีโน- บริต อำนวย เกษมทรัพย์ เจ้าของบริษัท ไซเบอร์เนติค ตัวแทนแอร์บัส แอร์โร สเปซ ของลูกชาย พล.ร.อ. อมร ศิริกายะ อดีต ผบ.ทร. อิตัลไทยของ น.พ. ชัยยุทธ กรรมสูต ล็อกซเล่ย์ของคุณหญิงชัชนี จาติกวณิช สาธิตวิศวกรรมของตระกูลโกมลาชุน ที่เพิ่งประมูลขายเรือให้กองทัพเรือได้ หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. กิติวัฒน์ ที่เป็นผู้ผูกขาดขายปืน 155 ให้หน่วยนาวิกโยธิน ของกองทัพเรือเพียงรายเดียว
พวกนี้คงต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือดในอนาคตอันใกล้ ???
ในยุทธจักรนักค้าอาวุธนั้น ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าผู้หญิงจะเป็นแม่ค้ากับเขาด้วย !!!
เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว หลายครั้งที่ผู้หญิงเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ การซื้อขายอาวุธ ถึงกับมีเรื่องติดตลกที่เป็นจริงว่าเมียนายทหารผู้ใหญ่คนหนึ่งถูกเรียกว่า "คุณหญิง 10%" ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะ หากมีการขอร้องให้เธอช่วย "ลุ้น" ขายอาวุธสิ่งแรกที่เธอเรียกอย่างตายตัวเลยก็คือ "ส่วนแบ่ง10%
สำหรับผู้หญิงที่กลายเป็นแม้ค้าไปแล้วจริง ๆ และที่ถูกมองกำลังรุกคืบเข้ามาในวงการนี้เห็นกันชัด ๆ มีด้วยกัน 3 รายคือ
สุพร้อม ชัยกุล
"เจ๊ตุ๋ย" ม่ายลูกชาย 2 คน หญิง 1 คน วัย 39 ปีคนนี้เป็นเจ้าของบริษัทพร้อมไพบูลย์ จำกัด ซึ่งเป็นนายหน้าให้กับบริษัทโซน่ากรุ๊ป เจ้าของยานยนต์ MAN (รถหุ้มเกราะ) เจ๊ตุ๋ยเป็นคนสุโขทัย พื้นฐานเดิมครอบครัวจัดอยู่ในขั้นร่ำรวย ที่บ้านมีโรงบ่มใบยาหลายแห่ง เธอเพิ่งเข้ามาค้าอาวุธไม่นาน แต่ก็ดังเป็นพลุแตก ด้วยการประมูลขายรถหุ้นเกราะให้กองทัพได้หลายรายการ
เจ๊ตุ๋ย เป็นคนที่เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่เก่งด้วยความที่เคยมีครอบครัวมาแล้ว ทำให้รู้จักช่องทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี คนในวงการพูดถึงเธอว่า อาศัยความสนุกสนานน่ารักเป็นหัวจักรเข้าไปขายก็กำชัยไปแล้วกว่าครึ่ง ปกติเป็นนักดื่มคอแข็งโดยเฉพาะเหล้าแม่โขง ซึ่งผู้ชายบางคนยอมแพ้มาแล้ว
"เจ๊เธอเป็นคนสู้ไม่ถอย ถึงไหนถึงกัน สมัยก่อนที่มีการเฉลี่ยเงินเพื่อเป็นค่าเลี้ยงดูปูเสื่อพา ทหารไปดูอาวุธในต่างประเทศ เจ๊เป็นคนหนึ่งที่ออกค่าใช้จ่ายมาก แหมเรื่องแค่นี้แกยังสู้แล้วจะไปสำคัญอะไรที่จะไม่สู้ในการประมูล" แหล่งข่าวคนหนึ่งเล่าให้ฟัง
การทำงานของเธอเป็นไปในลักษณะวัน วูแมน โชว์ ที่ตัดสินใจเฉียบขาดเพียงผู้เดียว ในวงการเธอได้รับการคาดหมายว่าจะมาแรงแซงผู้ชายได้ไม่ยากเย็น
ราศี บัวเลิศ
ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังไต่บันไดเจ้าแม่อย่างสมบูรณ์แบบ
ชื่อ ราศี บัวเลิศ ถูกกล่าวขวัญกันอย่างมากเมื่อเธอตกเป็นข่าวมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคุณหญิง พันธุ์เครือ ยงใจยุทธ ถึงขนาดรับเป็นเจ้าภาพจัดงานวันเกิดให้ภริยาท่าน ผบ.ทบ. ทั้งนี้เพื่อเป็นช่องทางกรุยไปสู่ความเป็นยอด
ราศีหรือแดง เจ้าของบริษัทเจริญเลิศ เอ็นเตอร์ไพรส์ คนนี้เคยทำบริษัทการเงินล้มเหลวมาแล้ว เธอหายเงียบไปหลายปีก่อนที่จู่ ๆ จะปรากฏตัวชนิดที่หลายคนเซอร์ไพรส์ เมื่อเธอเสนอตัวเป็นนายหน้าขายกล้องส่องทางไกลแบบจับเสือมือเปล่าในสมัย พล. อ. เล็ก แนวมาลี เป็น รมว. กลาโหม
แรก ๆ ที่เข้าสู่ธุรกิจนี้เธอเน้นไปที่กองทัพบกเป็นจุดหลัก โดยที่มีเสียงพูดกันมากว่า เธอทุ่มทั้งตัวทั้งใจให้กับผู้ใหญ่ที่มีอำนาจตัดสินใจ หรือไม่ก็เป็นสะพานนำสาว ๆ สวย ๆ ที่พอรู้จักในสังคมให้ได้ รู้จัก
ความเปรียวเปรี้ยวและกล้าของเธอ ยิ่งสนับสนุนให้คำกล่าวนั้นดูเป็นจริง???
"ไม่เคยรู้จักเธอมาก่อนเลย พอเธอประมูลเรือของกองทัพเรือได้จึงคิดว่าผู้หญิงคนนี้น่าสนใจแม้จะมีอายุ ทว่าเธอก็เป็นคนน่ารักไม่น้อย" พ่อค้าคนหนึ่งกล่าว
ราศีปฏิเสธเสียงแข็งให้ใคร ๆ รู้ว่า "เธอไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกพูดถึง แต่ที่มีเสียงอย่างนั้นออกมา เพราะเป็นการจงใจป้ายร้ายให้เธอได้รับความเสียหาย ต้องการทำลายไม่ให้เธอรุกหนักไปกว่านี้"
ปี 2526 ราศีสร้างความฮือฮามากเมื่อหาญเข้าประมูลเรือรบของกองทัพเรือแข่งขันกับอิตัลไทย และเธอก็ทำให้ทุกคน "ช็อค" เพราะเธอสามารถเอาชนะไปได้ เรือสุรินทร์ที่ประมูลได้นั้นมีมูลค่าสูงถึง 500 ล้านบาท นับเป็นงานชิ้นใหญ่ในชีวิตของเธอ
"เธอรู้จักกันเป็นอย่างดีกับผู้ใหญ่ของกองทัพ คนที่เหนือกว่านายของทหารเรือ เพราะถ้าไม่ถึงขั้นนั้นแล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้เลยว่าจะเอาชนะอิตัลไทยที่ผูกขาดงานทัพเรือมานานได้" แหล่งข่าวกล่าว
ราศีพยายามที่จะเข้าประมูลงานของทัพเรืออีกในช่วงปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการขายเรือลาดตระเวน ทว่าคราวนี้เธอกลับเป็นฝ่ายแพ้อิตัลไทย จนถึงกับมีข่าวว่าเธอโกรธ กับผู้ใหญ่บางคนของกองทัพเรือมีเรื่องมีราว ไม่พูดกันมาจนถึงทุกวันนี้
"ผมเป็นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน เพราะทีแรกเธอเองเป็นคนบอกว่า แพ้เป็นแพ้ แต่ที่ไหนได้ทางกองทัพเรือแอบไปรู้มาว่า เธอได้ยื่นหนังสือประท้วงผู้บังคับบัญชาระดับสูงว่า การประมูลนั้นมีความไม่ชอบมาพากล เราทำกันอย่างบริสุทธิ์แล้ว ก็ควรยอมรับกันบ้าง" แหล่งข่าวกล่าว
แต่ราศีมักบอกกับใคร ๆ ว่า "คนอย่างเธอไม่เคยใช้อารมณ์ ถ้าแพ้ก็ยอมรับว่าแพ้ ไม่ชวนตี"
เธอเป็นขี้แพ้ชวนตีหรือเปล่านั้น ? เวลาคงให้คำตอบในไม่ช้า ทว่าที่แน่ ๆ ผู้หญิงคนนี้ที่กำลังสร้างสายสัมพันธ์ลุ่มลึกกับคนบางคนของกองทัพ เธอก็เป็นอีกคนหนึ่งที่น่าจับตามอง?
ศิริกัญญา สุทรสีมะ
อดีตนางฟ้าการบินไทยวัน 40 ปี ซึ่งเรียนจบด้านเลขานุการจากเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ผ่านงานที่เป็นตัวของตัวเองมาแล้วหลายอย่าง เช่น ร้านอาหาร โรงงานทำขนมปัง เป็นนายหน้าและนักจัดสรรที่ดิน ซึ่งงานเหล่านี้เธอทำสมัยที่เป็นผู้ช่วยนายสถานที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย
ศิริกัญญากลับเมืองไทยและตั้งบริษัทเก่งกัญญา เอ็นเตอร์ไพรส์ ขึ้นมารับให้การบริการแก่นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการคนวิ่งเต้นช่วยเหลือประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ
ศิริกัญญาสนิทสนมกับสมศรี ลัทธิพิพัฒน์ ภรรยาอดีต รมว. ธรรมรง ลัทธิพิพัฒน์ สมศรีแนะนำให้เธอรู้จักกับ มร. เอ็ดเวิร์ด ลิว กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็ม ซึ่งเป็นบริษัทรับจัดนิทรรศการชื่อดังในสิงคโปร์
เซ็มต้องการที่จะเข้ามาจัดนิทรรศการอาวุธยุทโธปกรณ์ในประเทศไทย ประจวบเหมาะกับที่ ศิริกัญญาทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว ทั้งสองจึงกลายเป็นคู่ค้ากันไปในทันที และที่สุดด้วยการวิ่งเต้นทุกทาง เซ็มได้รับเลือกให้เป็นคนจัดนิทรรศการอาวุธเมื่อต้นปี 2530 ที่ผ่านมา
ผลพลอยได้ของงานนั้นทำให้ศิริกัญญา ล่วงรู้รายละเอียดของบริษัทผู้ผลิตอาวุธ 350 บริษัทจาก 23 ประเทศ โบชัวร์สินค้าเธอมีอยู่พร้อม "ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากถ้าคิดจะเป็นนายหน้ากับเขาสักคนหนึ่งที่สามารถเสนอสินค้าให้กองทัพได้ทันทีถ้าต้องการ"
ใครบอกว่าเธอฉลาดลึกเอามาก ๆ !!!
"เธอเป็นคนคล่องแคล่ว งานครั้งนั้น ทำให้เธอถูกมองเป็นนายหน้าไปโดยไม่เจตนา กอปรกับการที่เธอเชิญนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ทั้งจากกองทัพไทยและในอาเซียนให้เข้ามาร่วมในงานนั้นได้มากมาย จึงกลายเป็นเป้าสายตาของพ่อค้าทั่ว ๆ ไป" พ่อค้าในวงการบอกกับ "ผู้จัดการ"
ทว่าศิริกัญญาบอกอย่างหนักแน่นว่า เธอไม่คิดเป็นแม่ค้าอาวุธ หรือถ้าจะเป็นก็จะไม่ทำอย่างนี้เด็ดขาด เนื่องจากดูโฉ่งฉ่างมากเกินไป "วงการนี้เปิดเผยตัวจริง ๆ ออกมามีแต่ทางเสียหาย" เธอเคยบอกกับคนใกล้ชิด
ศิริกัญญายังรับผลิตรายการ "ช่องทางเศรษฐกิจ" ในนามบริษัท ยูไนเต็ด คอมมิวนิเคชั่น ให้กับช่อง 5 อีกด้วย
ทางเดินของผู้หญิงคนนี้หลังงานนิทรรศการครั้งนั้น ดูเหมือนเธอจะถูกจับให้ผูกพันกับกองทัพจนแยกตัวไม่ออกเสียแล้ว
สงครามเป็นทั้งผู้ทำลายและผู้สร้างสรรค์ สิ้นสุดความโหดร้ายของสงครามไปแล้วอีกบทหนึ่ง พร้อมกับการขับเคลื่อนอย่างซ่อนลึกเพื่อผลประโยชน์อันมหาศาล ที่จะเป็นของบางคน !!! บางกลุ่ม !!! ในเร็ว ๆ วันนี้???
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|