ความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างหนี้ และปรับปรุงกิจการของไทยออยล์ดำเนินมาเป็นลำดับ
และสถานการณ์ของบริษัทก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จน คาดว่าจะก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ด้วย
การมุ่งหน้าควบรวมกับกิจการด้านการตลาดของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย(ปตท.)ได้
แต่ความคืบหน้าดัง กล่าวก็ต้องมาสะดุดลงชั่วคราวเมื่อบริษัทเกิดอุบัติเหตุถังน้ำมันระเบิดในวันที่
2 ธันวาคม 2542
เหตุการณ์ถังน้ำมันระเบิดถือเป็นอุบัติเหตุครั้งรุนแรงที่สุดของบริษัท ที่
ได้พยายามสะสมชั่วโมงความปลอดภัยในการทำงานมาได้หลายแสนชั่วโมง นับแต่ก่อตั้งบริษัท
และบริษัทก็เพิ่งเข้ารับใบรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรมไปหมาดๆ
อย่างไรก็ดี อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่ได้ทำให้แผนงานต่างๆ ต้องชะลอออกไป โดยเฉพาะในเรื่องการปรับโครงสร้าง
หนี้ ซึ่งเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมาได้ มีการโหวตรับแผนปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วโดยเจ้าหนี้ส่วนใหญ่
แต่มีเจ้าหนี้จำนวน 2-3 รายที่ครองหนี้ด้อยสิทธิกลุ่มหนึ่งประมาณ 6% โหวตไม่รับแผน
เพราะหนี้กลุ่มนี้ถูก hair cut มาก
ดังนั้น ขั้นตอนของไทยออยล์ก็คือ นำเรื่องเข้าสู่กระบวนการของศาลล้มละลาย
ซึ่งได้มีการยื่นเอกสารเกี่ยวกับผลการประชุมเจ้าหนี้ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้
และการซื้อหนี้คืนจากเจ้าหนี้ ให้ศาลพิจารณาไปแล้วเมื่อ 16 ธ.ค. 2542 และศาลได้ประทับรับฟ้องไว้แล้ว
ศาลจะไต่สวนคดี และไทยออยล์ ต้องยื่นแผนฟื้นฟูกิจการให้ศาลพิจารณาเป็นลำดับถัดไป
กระบวนการใน ศาลใช้เวลาประมาณ 3 เดือน
พร้อมกันนี้ในวันที่ 15 ธ.ค. 2542 บริษัทยังได้ดำเนิน การซื้อลดหนี้ จากเจ้าหนี้
ที่สนใจจะขายหนี้คืนให้บริษัท (debt buy back) ไม่ต้องการรอการชำระหนี้ ที่ยาวนานถึง
14 ปี ซึ่งปรากฏว่ามีเจ้าหนี้ขายหนี้คืนให้ไทยออยล์มากกว่า ที่คาดหมายไว้ถึง
9.5%
ทั้งนี้ฝ่ายเจ้าหนี้ได้ขายคืนหนี้จำนวน 312 ล้านเหรียญให้แก่ไทยออยล์ ในอัตราซื้อคืนเหรียญละ
55 เซ็นต์ หรือคิดเป็นมูลค่า 171.6 ล้าน เหรียญ ซึ่งเท่ากับว่าไทยออยล์ได้ส่วนลดถึง
45% (หรือมี hair cut 45%) แต่เดิมไทยออยล์คาดหมายว่าเจ้าหนี้จะขายคืนหนี้เพียง
285 ล้านเหรียญ เท่านั้ น แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาจริงกลับได้มากกว่า ที่ตั้งเป้าหมายไว้
ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเจ้าหนี้พร้อม ที่จะดำเนินตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้ ที่เจรจากัน
ไว้ หรือบางข่าวก็กล่าวว่าเจ้าหนี้กลัวหนี้สูญอันเนื่องมาจากความเสี่ยงเรื่องอุบัติเหตุ
ที่ได้เกิดขึ้น
บริษัทคาดหมายว่าจะมีการลงนามในข้อตกลงสุดท้ายของแผนการปรับโครงสร้างหนี้
ได้ในราวปลายเดือนก.พ.หรือต้นเดือนมี.ค. 2543 ซึ่งเมื่อ ถึงเวลานั้น มูลหนี้ของไทยออยล์จะลดลงเหลือประมาณ
1,000 กว่าล้าน เหรียญ และไทยออยล์ จะทยอยชำระคืนในเวลา 14 ปีพร้อมดอกเบี้ยใน
อัตรา Libor flat สำหรับหนี้เป็นสกุลเงินดอลลาร์ (อัตราดอกเบี้ยระยะสั้น
ในตลาดลอนดอน คิด ณ วันที่ ครบดีล) และอัตราดอกเบี้ย MLR สำหรับ หนี้เงินบาท
ส่วนหนี้เงินเยนนั้น ใช้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดโตเกียว (Tibor) โดยในช่วง
3 ปีแรกเป็นระยะปลอดดอกเบี้ย
การเข้าสู่กระบวนการศาล เพื่อขอฟื้นฟูกิจการนั้น ถือเป็นทางออกสำหรับกลุ่มเจ้าหนี้ส่วนน้อย
ที่ไม่พอใจเงื่อนไขการชำระหนี้ของไทยออยล์ ซึ่ง เดิมจะมีการขอลดหนี้แค่ 20%
และเจ้าหนี้ส่วนน้อยก็ไม่พอใจอยู่แล้ว แต่ครั้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ถังน้ำมัน
บริษัทกลับได้ส่วนลดมากขึ้นเป็น 45% ในการซื้อหนี้คืนทันที แถมเจ้าหนี้ยังนำหนี้มาขายคืนในจำนวนมากกว่า
ที่ตั้งเป้าหมายไว้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ถือว่าเป็นการปรับตัวได้อย่างดีของไทยออยล์
หรืออาจจะกล่าวในอีกทางหนึ่งว่า หากไม่มีอุบัติเหตุครั้งนี้ แผนการขอลดหนี้หรือการซื้อหนี้คืนอาจไม่ได้ผล
แต่ในอีกทางหนึ่ง การได้ส่วนลด 45% ครั้งนี้ก็เป็น "ราคา" ที่ไทยออยล์มีต้นทุนอยู่ไม่น
้อย ต้องถือว่าเป็นราคา ที่สูงอยู่พอสมควรเมื่อแลกกับชื่อเสียงเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย
ที่บริษัทเคยมีสูงสุดในระดับโลก
จุลจิตต์ บุณยเกตุ กรรมการอำนวยการ ไทยออยล์ ดูเหมือนเป็นคน "โชคร้าย"
ในปีสุดท้ายของศตวรรษ เขาเป็นลูกหม้อบริษัท ที่เห็นความเจริญเติบโตของกิจการจากบริษัทน้ำมันเล็กๆ
จนแตกหน่อออกเป็นผู้ผลิตน้ำมัน รายใหญ่รายหนึ่งในภูมิภาค เป็นบริษัทชั้นนำของประเทศ
ที่มีความมั่นคงแข็งแกร่ง มีกิจการในเครือแผ่ขยายออกไปมากมาย มีผลการดำเนินงานดีเยี่ยมมาตลอด
แต่แล้วเมื่อประเทศประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุด ไทยออยล์ก็ลำบากตามไปด้วย
จุลจิตต์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารเบอร์หนึ่ง และเป็นผู้ประกาศการพักชำระหนี้ของบริษัทเป็นเวลา
9 เดือน นั่นเป็นการสูญเสีย ความน่าเชื่อถือในสถานะทางการเงิน ที่บริษัท
ซึ่งมีทุนจดทะเบียนเพียง 20 ล้านบาทแต่สามารถขยายกิจการไปได้จนมีสินทรัพย์ถึง
93,798 ล้านบาท ด้วยการใช้เงินกู้ทั้งสิ้น และเป็นเงินกู้ประเภท clean loan
จากฝีมือของเกษม จาติกวณิช กรรมการอำนวยการคนก่อนหน้า
นอกจากนี้จุลจิตต์ยังต้องเจรจากับเจ้าหนี้ 124 รายเรื่องแผนการปรับโครงสร้างหนี้
จนนำไปสู่การเข้ากระบวนการของศาลล้มละลาย เขาต้อง เจรจาให้ปตท.เข้ามาช่วยเหลือ
เพื่อความอยู่รอดของไทยออยล์ ซึ่งปตท.ก็จะ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วน
49% ในไทยออยล์
ท้ายที่สุดจุลจิตต ์ยังได้เห็นเปลวเพลิงลุกไหม้ถังเก็บน้ำมันไทยออยล์-เหตุการณ์
ที่กระหน่ำซ้ำเติมวิกฤติของบริษัท มากขึ้นไปอีก
แต่ชายคนนี้เป็นคนที่มีฝีมือคนหนึ่งทีเดียว การพลิกวิกฤติเป็นโอกาส คือ
สิ่งที่เกิดขึ้น และเราได้มองเห็น ที่ไทยออยล์ ภายใต้ผลงานของจุลจิตต์
การที่เขาสามารถลดภาระหนี้ของบริษัทลงไปได้ถึงครึ่งหนึ่งในครั้งนี้ แม้เป็นราคา
ที่จ่ายมาแพง หากคิดคำนวณให้ดี แต่ก็เป็นทางรอดที่ดีของบริษัท
ในภาวะ ที่เศรษฐกิจของประเทศเริ่มผงกหัวขึ้นแล้ว เราจะได้เฝ้ามองไทยออยล์ผงาดขึ้นด้วยชีวิตใหม่ในศักราชใหม่