ก.ล.ต.ชี้ค่าธรรมเนียมใหม่ งานวิจัยของโบรกเกอร์แต่ละแห่งไม่มีความแตกต่าง
การกำหนดให้มีการคิดค่าคอมมิชชั่นเป็นเพียงการเพิ่มโอกาสในการสร้างกำไรของโบรกเกอร์เท่านั้น
ขณะที่คนวงการยอมรับจริง แต่ประเมินเร็วไป เพราะต้องรอประเมินทิศทางก่อนลงทุนเพิ่ม
ชี้งานนี้น่าจะพุ่งเป้าชนตลาดหลักทรัพย์ฯ
นายพิชิต อัคราทิตย์ ผู้อำนวยการ สำนักวิจัยและพัฒนาตลาดทุน สำนักงานคณะกรรมการ
กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า การที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(ตลท.)
กำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์กลับมาใช้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์(ค่าคอมมิชชั่น)
แบบกำหนดเพดานขั้นต่ำอีกครั้ง อาจไม่ช่วยให้คุณภาพบทวิจัยเพิ่มขึ้น
แต่เป็นแค่การช่วยให้บริษัทหลักทรัพย์มีกำไรเพิ่มขึ้นโดยไม่มีการพัฒนาคุณภาพบทวิจัยและการ
บริหาร เนื่องจากไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าบริษัทหลักทรัพย์จะนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นไปพัฒนาฝ่ายวิจัย
ทั้งนี้ จากการศึกษาของโครงการเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เกี่ยวกับปริมาณและคุณภาพบทวิจัยในช่วงก่อนและหลังการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น
ซึ่งมีการเก็บข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ 27 แห่ง และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม
(บลจ.) 7 แห่ง รวมถึงนักลงทุนทั่วไปพบว่าปริมาณและคุณภาพบทวิจัยของบริษัทหลักทรัพย์แต่ละแห่งใน
2
ช่วงเวลาดังกล่าวเทียบกันไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัย
โดยจากข้อมูลที่สำรวจ ระบุว่าก่อนหน้าที่จะมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นในปี
2543 เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยแต่ละราย จะต้องรับผิดชอบ การทำบทวิจัยของบริษัทประมาณ
13 แห่ง
แต่หลังจากการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น ความ รับผิดชอบดังกล่าวเพิ่มเป็นคนละ
14 แห่ง ส่วนจำนวนบทวิจัยต่อวันของบริษัทหลักทรัพย์แต่ละแห่ง อยู่ที่ 4 ฉบับเท่าเดิม
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ภายหลังจากการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นแล้วคุณภาพของเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น
เพราะมีแนวโน้มที่บริษัทหลักทรัพย์จะรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยที่สามารถวิจัยตลาดหุ้นในระดับภูมิภาคได้มากขึ้น
และจำนวนเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัย ในระดับที่ได้รับประกาศนียบัตรมาตรฐานนักวิจัย
ก็เพิ่มจากร้อยละ 14.94 ของเจ้าหน้าที่วิจัยทั้งระบบในช่วงก่อนเปิดเสรีมาเป็นร้อยละ
15.6 หลังเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น
รับบทวิจัยเหมือนเดิม
ก่อนหน้านี้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า
ตลาดหลักทรัพย์ได้ออกข้อบังคับในเรื่องเกี่ยวกับการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่บริษัทหลักทรัพย์
ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2545 เป็นต้นไป
โดยให้บริษัทสมาชิกเรียกเก็บจากลูกค้าในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 0.25 ของมูลค่าการซื้อขายสำหรับลูกค้าทุกประเภท
และอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 0.20 สำหรับการ ซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ต
รวมทั้งกำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ปรับปรุงการให้บริการด้านการวิเคราะห์หลักทรัพย์แก่ลูกค้า
โดยกำหนดให้ต้องมีนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่มีความรู้ความสามารถจบการศึกษาขั้นต่ำระดับปริญญาตรีอย่างน้อย
2 คน และนำเสนอบทวิเคราะห์หลักทรัพย์เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่งกล่าวว่า สิ่งที่ก.ล.ต.กล่าวนั้นก็ตรงกับความเป็นจริง
เพราะว่านับตั้งแต่ใช้ค่าธรรมเนียมซื้อขายขั้นต่ำ 0.25% เมื่อ 14 มกราคมที่ผ่านมา
บริษัทหลักทรัพย์เกือบทุกแห่งยังไม่ได้ปรับปรุงในเรื่องคุณภาพของบทวิจัยมากนัก
นักวิเคราะห์ทุกคนยังทำหน้าที่ไม่แตกต่างไปจากเดิม
และถ้าจะพิจารณาจากเงื่อนไขของตลาดหลักทรัพย์ที่กำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์
ต้องมีนักวิเคราะห์จบการศึกษาขั้นต่ำระดับปริญญาตรีอย่างน้อย 2 คน และเสนอบทวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ
ถือได้ว่าบริษัทหลักทรัพย์แทบทุกแห่งก็มีนักวิเคราะห์ประมาณนี้อยู่แล้ว
นักวิเคราะห์ 1 คนจะต้องดูและในหลายอุตสาหกรรม เพื่อให้ครอบคลุมหุ้นกลุ่มที่สำคัญ
แตกต่างจากเมื่อครั้งก่อนที่จะใช้ค่าธรรมเนียมซื้อขายเสรีที่นักวิเคราะห์
1
คนจะดูแลกลุ่มอุตสาหกรรมคนละประมาณ 2-3 กลุ่มเท่านั้น ส่วนการจะเพิ่มจำนวนนักวิเคราะห์ในทีมงานนั้น
คงจะเป็นเรื่องการตัดสินใจของผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์
ด่าเร็วไป
ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์รายหนึ่งกล่าวว่า การเพิ่มจำนวนนักวิเคราะห์นั้นคงจะต้องพิจารณา
ถึงแนวโน้ม และทิศทางของตลาดหุ้นก่อน เพราะค่าธรรมเนียมขั้นต่ำที่ 0.25%
เพิ่มเริ่มใช้เมื่อ
กลางเดือนมกราคม ซึ่งระยะเวลาแค่ 2 เดือนครึ่งนั้นก็สร้างรายได้ให้กับโบรกเกอร์ไม่น้อย
ในทางธุรกิจแล้วเราต้องรอผลและความเป็นได้ก่อน จากตัวเลขผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี
2545 เชื่อว่าทุกบริษัทคงอยู่ในระหว่างการตัดสินใจว่าจะเพิ่มมากน้อยเพียงใด
เพราะเมื่อค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหุ้นเท่ากันแล้ว จุดขายจะอยู่ที่บทวิเคราะห์
เชื่อว่าทุกค่ายก็ต้องเร่งสร้างคุณภาพให้กับทีมวิเคราะห์ของตนเอง
บทศึกษาของก.ล.ต.นำมาใช้นั้นเป็น การสำรวจที่เร็วเกินไป เพราะภายหลังจากการใช้ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ
0.25% นั้น คงจะมีบางค่ายเท่านั้นที่เพิ่มนักวิเคราะห์ เนื่องจากเดิมเหลือนักวิเคราะห์แค่คนเดียว
เราไม่แน่ใจว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเผยแพร่ผลการศึกษาดังกล่าวว่าต้องการอะไร
ส่วนหนึ่งถือเป็นการประจานโบรกเกอร์ว่าเห็นแก่ตัว มุ่งหวังแต่รายได้ โดยไม่ยอมเพิ่มคุณภาพ
งานวิจัย
หรืออาจจะก้าวไปถึงการตัดสินใจของผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกับนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์
ที่เป็นผู้ริเริ่มให้ใช้ค่าธรรมเนียมซื้อขายขั้นต่ำ 0.25% ซึ่งถือเป็นการหักหน้า
ก.ล.ต.
เพราะก.ล.ต.เป็นต้นคิดการใช้ค่าธรรมเนียม ซื้อขายเสรี จนทำให้โบรกเกอร์ทุกแห่งต้องเน้นแข่งขันกันลดค่าธรรมเนียม
โบรกเกอร์จึงต้องปรับกลยุทธ์เพื่อให้นักลงทุนเพิ่มรอบซื้อขายหุ้นมากขึ้น
จึงกลายการเล่นหุ้นเพื่อการเก็งกำไรมากกว่าการลงทุนในระยะยาว
การที่ใช้ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ 0.25% นั้น สร้างความไม่พอใจให้กับ ก.ล.ต.เป็นอย่างมาก
เพราะถือว่าไม่เป็นไปตามนโยบายการเปิดเสรีทางการเงินและโดยสถานะของก.ล.ต.จะทำหน้าที่
เป็นผู้ควบคุมตลาดหลักทรัพย์อีกต่อหนึ่ง