|
คนหุ้นหนุนเบียร์ช้างเพิ่มไซส์ตลาดหุ้น2%
ผู้จัดการรายวัน(23 มีนาคม 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
เผยเบียร์ช้างมาร์เกตแคป 2-2.5 แสนล้านบ. เพิ่มขนาดตลาดหุ้นไทยได้ 2% ตลท.ครวญเสียดายโอกาสสร้างงานผลดีเศรษฐกิจ ขณะที่ดัชนีหุ้นรูดปิดต่ำ 700 อีกครั้งหลังรัฐขึ้นดีเซล "โต้ง" ชี้ผลกระทบน้อยตลาดรับรู้แล้ว โบรกฯแนะจับตาเฟดมีผลค่าดอลลาร์แข็ง ส่วนหุ้นน้องใหม่ SMM เหนือจองตามคาด "โสภาวดี"ยืนยันเป้าหมาย 100 บริษัทเข้าตลท.ไม่เปลี่ยนแม้หุ้นซบ ชี้ภายในไตรมาส 2 และ 3 กระจุกตัว
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า หุ้นบริษัทไทยเบฟเวอร์เรจ หรือ เบียร์ช้าง ถ้าเข้ามาจดทะเบียนในตลท.จะช่วยเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) 2-2.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคป (มูลค่าตามราคาตลาด) สูงสุดติด 1 ใน 5 ทั้งนี้ถ้าพิจารณาด้านเศรษฐกิจการเข้าตลท.ของเบียร์จะเกิดประโยชน์เพราะจะทำให้บริษัทสามารถระดมทุนเพื่อนำเงินไปขยายกิจการซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างงานมากขึ้น
ทั้งนี้เบียร์ช้างจะสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการตลท.เป็นผู้ตัดสิน
**คาดเบียร์ช้างขยายตลาด 2%
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เบียร์ช้างเข้าตลาดหลักทรัพย์น่าจะเกิดผลดี เพราะเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่มีมาร์เก็ตแคปประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยใหขนาดของตลาดหุ้นขยายได้ประมาณ 2% ถือเป็นการเพิ่มสีสันให้กับตลาดหุ้นไทย รวมทั้งยังสามารถดึงนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนได้ด้วย
ทั้งนี้โดยส่วนตัวไม่นิยมส่งเสริมการดื่มแอลกอฮอล์หรือของมึนเมา แต่ถ้าเบียร์ช้างไม่ได้เข้าในตลาดหลักทรัพย์ของไทยก็จะผลักดันให้ไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งเท่ากับว่ายังสามารถระดมทุนและขยายธุรกิจได้ต่อไป
ขณะที่สังคมไทยคนก็ยังคงดื่มเหล้าและเบียร์ไม่เปลี่ยนแปลงดังนั้นจึงถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่บริษัทขนาดใหญ่ของไทยจะไปจดทะเบียนในตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันนี้ตลาดหุ้นต่างประเทศหลายแห่งทั้งในยุโรป,สหรัฐ, ญี่ปุ่น, จีนต่างก็มีบริษัทที่ทำธุรกิจแอลกอฮอล์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เช่นเดียวกัน
ขณะที่วานนี้ (22 มี.ค.) ได้มีการชุมนุมหน้าตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นคนจากสมาคมพุทธศาสน์สัมพันธ์ เพื่อมาสนับสนุนการที่ตลาดหลักทรัพย์เลื่อนการประชุมคณะกรรมการจากเดิมที่กำหนดในวันที่ 23 มีนาคมไปอย่างไม่มีกำหนด
**ดีเซลกดหุ้นปิดต่ำ 700
ด้านการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ดัชนีปิดที่ 699.53 จุด ลดลง 5.50 จุด หรือ 0.78% มูลค่าการซื้อขาย 15,300.29 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,067.30 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 158.90ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,226.20 ล้านบาท
ส่วนหุ้นบริษัทสยามอินเตอร์มัลติมีเดีย (SMM) เข้ามาซื้อขายเป็นวันแรก ราคาเปิดที่ 2.94 บาทสูงกว่าราคาจองที่กำหนดไว้ 2.65 บาทหลังจากนั้นก็มีแรงซื้อเข้ามาทำให้ราคาขึ้นมาสูงสุดที่ 3.10 บาทต่อมาก็มีแรงเทขายทำกำไรออกมา ทำให้ราคาอ่อนตัวลดลงและมาปิดที่ 2.72 บาทสูงกว่าราคาจอง 0.07 บาทหรือ 2.64%มูลค่าการซื้อขาย 472.76 ล้านบาท
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า การที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นจะมีผลกระทบต่อหุ้นที่เข้ามาจดทะเบียนหรือไม่นั้นจะต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายด้านทั้งภาวะตลาดหุ้นโดยรวม รวมถึงการกำหนดราคาหุ้น ซึ่งเจ้าของบริษัทและที่ปรึกษาทางการเงินควรที่จะกำหนดราคาไม่สูงเกินไปนัก การที่รัฐบาลปรับตัวราคาน้ำมันดีเซลรวดเดียว 3 บาทไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดมากและในวันนี้สาเหตุที่ดัชนีตลาดปรับตัวลงไม่แรงเป็นเพราะนักลงทุนคาดการณ์อยู่แล้วว่ารัฐบาลจะต้องปรับราคาขึ้นแน่นอนและโดยปกติตลาดหุ้นจะปรับตัวลงแรงก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า แม้ที่ผ่านมาตลาดหุ้นจะซบเซาแต่ตลท.ยังไม่ได้มีการปรับเป้าหมายของบริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียนภายในปี 2548 ซึ่งกำหนดไว้ 100 บริษัท โดยจะเป็นบริษัทที่เข้าในตลาด (SET) 60-70 บริษัทและบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (mai) 30-40 บริษัท ซึ่งภายในไตรมาสแรกของปีมีบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ 9-10 บริษัท และมีหลายบริษัทที่อยู่ระหว่างรองบการเงินประจำปีซึ่งคาดว่าภายในไตรมาส 2 และ 3 นี้จะมีจำนวนบริษัทที่กระจายหุ้นจำนวนมาก เพราะเป็นปีสุดท้ายที่บริษัทจดทะเบียนได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษี ประกอบกับบริษัทต่างๆ มีการขยายตัวจึงจำเป็นที่จะต้องระดมทุนเพื่อขยายกิจการ
**จับตาเฟดขึ้นดอกเบี้ย
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธการลงทุน บล.พัฒนสิน เรื่องน้ำมันคงกระทบต่อตลาดหุ้นเพียงระยะสั้น เรื่องที่มีน้ำหนักมากกว่า คือการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ซึ่งอาจจะส่งผลให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น และมีการโยกย้านเงินเพื่อเก็งกำไรในตลาดเงินมากขึ้นด้วย ซึ่งประเด็นดังกล่าวต้องดูทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐฯเรื่องการประชุมขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธการลงทุน บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า การปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลคงไม่มีผลต่อภาพเศรษฐกิจมากนัก ซึ่งภาพรวมของ GDP ประเทศก็คงไม่ได้รับผลกระทบ โดยในส่วนของกลุ่มที่น่าจะได้รับผลกระทบ จะเป็นกลุ่มที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับรับเหมาก่อสร้าง สินค้าพื้นฐาน และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประชาชนในต่างจังหวัด เช่น ธุรกิจเช่าซื้อ
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|