"คนออมเงิน" เข้าตาจน หอบเงินออมจากแบงก์แต่มาปะทะซึ่งหน้ากับ
"กองทุนหุ้น" ที่ประดาผู้จัดการกองทุนมักจะกล่อม จนเคลิบเคลิ้ม
ไล่มาตั้งแต่ "ธนชาติ" ชวนเล่นหุ้นอย่างเดียว
หลังประกาศหยุดขายกองทุนตราสารหนี้เรียบร้อย ส่วน "พรีมาเวสท์"
กองทุนใหม่แบ่งลงหุ้นถึง 80% เพราะให้กำไรงาม ที่เหลือ "เอเจเอฟ และรวงข้าว"
ประสานเสียงช่วยตีฟองสบู่ อ้างจากต้นปีถึงมี.ค.
กองทุนหุ้นให้ผลตอบแทนถึง 30% เจ้าของเงินออมสมัยนี้ นอก จากจะหมดทางเลือกสร้างโอกาส
งามๆ จนแทบสิ้นเนื้อประดาตัวจาก อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่เฉียดใกล้เลขศูนย์ทุกทีแล้ว
ก็ดูเหมือนว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาหนักอกเข้าให้อีก เมื่อผู้นำประเทศเปิดประเด็นใหม่เกี่ยวกับการยกเลิกการค้ำประกันเงินฝาก
แล้วหันมาเอ่ยถึงสถาบันค้ำประกันเงินฝากแทน
นี่จึงไม่ใช่แค่เรื่องเงินๆทองๆ เพียงอย่างเดียว แต่มันหมายถึงเงิน ก้อนสุดท้ายที่จะเก็บหอมรอมริบไว้ใช้ในช่วงบั้นปลายชีวิต
กำลังจะถูกผลักไสออกไปจากแบงก์ทั้งที่ไม่ทีทางเลือกอื่น
โดยเฉพาะความพยายามขับไล่เม็ดเงินให้ไหลมา กองในกองทุนรวมหรือธุรกิจจัดการ
ลงทุน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทในเครือของแบงก์เอง ที่มักจะหว่านล้อมให้หันมาเล่นหุ้นกันเป็นหลัก
ทั้งที่มีความเสี่ยงกว่ามาก...จึงเท่า กับว่าคนจนไร้ราก หมดโอกาสพึ่งเงินเก็บก้อนสุดท้ายในชีวิตเสียแล้ว....
ธนชาติหยุดกองตราสารหนี้ ออกเร่ขายกองทุนหุ้นเก่า ม.ล.ผกาแก้ว บุญเลี้ยง
กรรมการอำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ธนชาติ
จำกัด กล่าวถึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ที่ต่ำเตี้ยลง
เป็นเหตุผลสำคัญให้บริษัทตัดสินใจเลือกนำเสนอกองทุนตราสารทุนกองเก่าเพื่อนำออกขายใหม่
โดยไม่ต้องขายกองใหม่ เพราะกองเก่ามีอยู่จำนวนมากแล้วและยังมีอัตรา ผลตอบแทนที่สูงมาก
"บริษัทมีกองทุนรวมทั้งหมด 30 กอง และเป็นกองทุนตราสารทุน 9 กอง แต่มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย
24.87% อยู่เหนือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ที่ 23.07% เท่านั้น ขณะที่กองทุน
ตราสารหนี้ 15
กองทุนมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยน้อยมากแม้จะจะอยู่เหนืออัตราอ้างอิงแต่ก็เพียงเล็กน้อย"
ขณะเดียวกันก็จะพิจารณาหยุดกองทุนตราสารหนี้
ซึ่งมีรายได้จากการลงทุนเหลือน้อยเต็มทีจากอัตราดอกเบี้ยที่เตี้ยลงทุกวัน
นอก จากนั้นก็คาดว่าการกระตุ้นเศรษกิจจำเป็นที่ภาค รัฐจะต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำไว้ระยะหนึ่งก่อน
อย่างไรก็ตามการทรงตัวของอัตราดอกเบี้ย เงินฝากในประเทศก็ยังไม่น่าไว้วางใจ
เนื่องจากยังเกรงว่าหากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาปรับขึ้นมาเมื่อใดก็จะผลักดันให้ต้นทุนด้านต่างๆปรับตัวสูงขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่มที่กู้เงินจากต่างประเทศเข้ามาเยอะๆ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นประเทศไทยก็จะมีสภาพคล่องเอ่อล้นมากขึ้นไปอีก
เพราะไหนจะเรื่องสภาพคล่องที่กองพะเนินมากอยู่แล้ว
มาเจอดอกเบี้ยที่เราจะต้องปรับตัวไล่ตามอเมริกาอีก สิ่งที่เกิดตามมาก็คือปัญหาที่จะต้องแก้ไขเพิ่มมากขึ้น
"หากอเมริกาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริงๆ
ประเทศไทยก็จะตกอยู่ในอาการสภาพคล่องส่วนเกินท่วมสูงขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยก็จะต้องปรับให้สูงตามอเมริกาด้วย"
"พรีมาเวสท์" เน้นลงหุ้น 80%
แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.)พรีมาเวสท์ เปิดเผยว่า
บริษัทได้ออกกองทุนใหม่ชื่อกองทุนเปิดพรีมาเวสต์ เฟล็กซ์ซิเบิลฟันด์มีมูลค่ากองทุน
2,000 ล้านบาทซึ่งเป็นกองทุนที่ 2
หลังจากจัดตั้งบริษัทขึ้นมา โดยมีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน
ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดขณะนี้ว่าจะให้น้ำหนักตราสารหนี้หรือตราสารทุน อย่างไรก็ตาม
ในช่วงแรกกองทุนเปิดพรีมาเวสต์ เฟล็กซ์ซิเบิลฟันด์จะลงทุนในตราสารทุนสัดส่วน
80% ที่เหลือลงในตราสารหนี้ เพราะมองว่าตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มที่ดีอยู่
กองทุนดังกล่าวจะเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกในวันที่ 22-29 เมษายน 2545 โดยขายผ่านสาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยา
และบริษัทหลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน กำหนดการจองซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท
และจะเปิดขายครั้งต่อไปในวันที่ 29 พฤษภาคม 2545 ทั้งนี้กำหนดนโยบายจ่ายปันผลปีละ
1 ครั้ง ในอัตรา 90% ของผลการดำเนินงาน แต่หากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยลงทุน(NAV)
ต่ำกว่า 10.25
บาท ก็จะไม่จ่ายปันผล "สาเหตุที่ออกกองทุนใหม่ในขณะนี้ เพราะมองว่าสภาพตลาดหุ้นเริ่มดีขึ้นไม่เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์
โดยการเปิดขายวันแรกในวันที่ 22 เมษายน
มีนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาซื้อหน่วยลงทุนมากพอสมควร เพราะบริษัทไม่เก็บค่าธรรมเนียมในการซื้อและขายหน่วยลงทุนในช่วงแรก"
AJF อวด NAV กองหุ้นไปได้สวย นายเรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์
กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) อยุธยา เจเอฟ (AJF)
เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งเป็นช่วงที่ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทำให้มีเงินลงทุนไหลเข้าสู่กองทุนตราสารหนี้ของบริษัทประมาณ
3,000 ล้านบาท ส่งผลทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วย (NAV) เพิ่มขึ้น ทั้งนี้
สาเหตุที่นักลงทุนลงทุนในกองทุนตราสารหนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องการที่จะหาผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้น
โดยในส่วนของผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้ของบลจ. อยุธยาเจเอฟ
เฉลี่ยอยู่ในระดับ 4-4.6% ซึ่งแต่ละ กองทุนจะไม่เท่ากันประกอบกับการลงทุนในกองทุนจะได้รับสิทธิด้านภาษี
โดยไม่ต้องเสียภาษีแต่อย่างใด สำหรับกองทุนที่ลงทุนในตราสารทุนนั้น
ในช่วงที่ผ่านมามีเอ็นเอวีที่เพิ่มขึ้นแต่ไม่ได้เกิดจากมีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มแต่อย่างใด
ซึ่งเกิดจากราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ขนาดกองทุนใหญ่ขึ้น
และทำให้ผู้ถือหน่วยกองทุนถือโอกาสไถ่ถอนหน่วยลงทุนออกมา ปัจจุบันนี้บลจ.อยุธยาเจเอฟ
บริหารสิน ทรัพย์อยู่ประมาณ 3.1 หมื่นล้านบาท และมีผู้ถือหน่วยกองทุนที่เป็นลูกค้าอยู่ประมาณ
6 พันคน
รวงข้าวขายเกลี้ยง คุยผลตอบแทน 30% นางดัยนา บุญนาค กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม
กสิกรไทยเปิดเผยว่า บริษัทได้ออกกองทุนใหม่ชื่อกองทุนเปิดรวงข้าวคืนกำไร
1
ซึ่งปรากฏว่าขายวันแรกเมื่อวันที่ 22 เมษายนมีนักลงทุนมาซื้อหน่วยลงทุนมาก
1.5 พันล้านบาทแสดงให้เห็นว่านักลงทุนให้ความสนใจอย่างมากในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์อยู่ในระดับต่ำ
กองทุนเปิดรวงข้าวคืนกำไร 1 เป็นกองทุน รวมผสมแบบยืดหยุ่นมีขนาดกองทุน 5
พันล้าน บาท และมีอายุโครงการ 3 ปี 3 เดือน โดยผู้ลงทุนที่ซื้อเริ่มแรกคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า
3.5% ต่อปี
ส่วนในด้านของกองทุนที่ลงทุนในหุ้นนั้น ถือว่ามีความน่าสนใจ เนื่องจากนับตั้งแต่ต้นปีจน
ถึงเดือนมีนาคมปรากฏว่าสามารถให้ผลตอบแทน แก่ผู้ถือหน่วยได้ประมาณ 30%
ซึ่งสูงกว่าดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 20% ดังนั้นจึงน่าจะดึงเงินฝากของนักลงทุนเข้ามาลงทุนในกองทุนได้มากยิ่งขึ้น