ยูคอม-จัสมิน ธุรกิจมีขึ้นย่อมมีลง!


นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2541)



กลับสู่หน้าหลัก

บุญชัย เบญจรงคกุล และอดิศัย โพธารามิก แม้จะทำธุรกิจโทรคมนาคมเหมือนกัน แต่ก็จัดอยู่ในบริการสื่อสารคนละประเภท ยูคอมของบุญชัยนั้นโตมาจากโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นบริการเสริม ในขณะที่จัสมินของอดิศัยมีรากฐานมาจากบริการโทรคมนาคมขั้นพื้นฐาน

แต่เวลานี้ทั้งสองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แตกต่างกันนัก!

ทั้งยูคอม และจัสมิน และทุนสื่อสารของเมืองไทยเวลานี้ต่างก็เจอกับผลกระทบของพิษค่าเงินบาทเข้าอย่างจัง เพราะต้องซื้อเทคโนโลยีมาจากต่างประเทศ แต่ละโครงการจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก งานนี้จึงขึ้นอยู่กับว่าใครลงทุนไว้มากก็เจ็บตัวหนักกว่าปกติ

ช่วง 2 ปีมานี้ยูคอมยึดนโยบายขยายการลงทุนแบบติดปีก ทั้งในด้านมีเดีย วิทยุ เคเบิลทีวี การเข้าซื้อหุ้นของธนาคารแหลมทอง แถมยังเข้าไปมีส่วนในสายการบินแห่งชาติสายที่ 2 และ ยังเข้าไปเสนอตัวประมูลรถไฟปรับอากาศซื้อกิจการร้านค้าปลีก เอเอ็ม/พีเอ็ม

จะเห็นได้ว่าการลงทุนของยูคอมนั้นไม่ได้มุ่งเน้นที่ธุรกิจเดิม แต่เป็นการเสาะแสวงหาธุรกิจใหม่ๆ เป็นลูกค้าในระดับกว้าง (mass) ทั้งสิ้น

เรื่องนี้บุญชัยเคยให้เหตุผลไว้ก่อนหน้านี้ว่าธุรกิจสื่อสารกำลังเริ่มตกต่ำ เพราะมีคู่แข่งมากหน้าหลายตาเกินไป และกำลังจะเปิดเสรีให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน ยูคอมจึงต้องแสวงหาธุรกิจใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง และสร้างฐานที่มั่นให้กับธุรกิจที่มีอยู่เดิม

ธุรกิจที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นโครงการขนาดใหญ่ ต้องใช้เงินลงทุนก้อนโต ยูคอมก็เหมือนกับธุรกิจส่วนใหญ่ในเมืองไทยที่อาศัยเงินกู้มาใช้ลงทุน สองปีที่ผ่านมานี้เวลาของบุญชัยจึงหมดไปกับการออกโรดโชว์ เพื่อระดมเงินทุนจากต่างประเทศเพื่อนำมาสานฝันที่ว่านี้ และใช้ลงทุนในกิจการโทรศัพท์มือถือ

แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างยูคอมนัก เมื่อภาวะเศรษฐกิจไม่เป็นใจ แถมเจอพิษค่าเงินบาทลอยตัว เงินกู้ก้อนใหญ่จากต่างประเทศกลายเป็นภาระหนักหนาสาหัสขึ้นมาทันที

ผลประกอบการของยูคอมในไตรมาสที่ 3 ยูคอมแบกขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาททันที 12,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับของแทค บริษัทลูกให้บริการโทรศัพท์มือถืออีก 8,100 ล้านบาท

"ปัญหาใหญ่ของยูคอมในเวลานี้ คือ หนี้สิน เราต้องเร่งหาผู้ร่วมทุนจากต่างชาติมาเสริมสภาพคล่อง แต่ฝรั่งเองเวลานี้ก็ยังไม่อยากซื้อหุ้นของเรา เพราะอยากให้ราคาถูกลงมากกว่านี้"

ทางออกของยูคอมไม่เพียงแค่ตัดค่าใช้จ่ายองค์กร ลดเงินเดือนผู้บริหาร แต่บุญชัยยังต้องตัดสินใจยกเลิกลงทุนในธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนยาวนานเกิน 4-5 ปีกว่าจะคืนทุนอย่างสายการบินแห่งชาติ และธุรกิจรถไฟฟ้ารอบเมือง

รวมทั้งในบริษัทแทค เจ้าของกิจการโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้กับกลุ่มยูคอม จะต้องงดการลงทุนออกไป 2 ปีเต็ม

ในภาวะที่ต้องการเงินสดมาเสริมสภาพคล่อง และต้องใช้หนี้ การขายหุ้นของบริษัทในต่างประเทศจึงเหมือนจะเป็นหนทางเดียวของทุนสื่อสารของไทย รวมทั้งยูคอม ด้วยเหตุนี้หุ้นในบริษัทเซลส์คอร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารไร้สายในสหรัฐอเมริกา ที่ยูคอมเคยซื้อเอาไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว จึงถูกนำออกขายในวงเงิน 600 ล้านบาท เป็นบริษัทแรกๆ ส่วนจะขายบริษัทไหนต่อไปยังไม่เป็นที่เปิดเผย

จะเหลือเพียงธุรกิจธนาคาร และร้านเออ็ม/พีเอ็มที่บุญชัยกล่าวว่า ยังต้องการเก็บเอาไว้เพื่อเป็นแขนขาในการขายโทรศัพท์มือถือ และสำหรับธุรกิจอิเล็กทรอนิกสแบงกิ้ง

"ต้องยอมรับว่าการลงทุนช่วงที่ผ่านมามากเกินไป แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อยูคอมได้โครงการก็ไปกู้เอาเงินมาลงทุน และต่างประเทศเองก็ยินดีที่จะให้กู้" คำกล่าวของบุญชัยที่เต็มไปด้วยความหมาย ซึ่งได้กลายเป็นบทเรียนราคาแพงที่บุญชัยกำลังรู้สึกสะท้อนในอยู่ในเวลานี้

ความรู้สึกของบุญชัยในเวลานี้ไม่ได้แตกต่างไปจากอดิศัย โพธารามิก ผู้พลิกฐานะจากนักวิศวะมืออาชีพมาเป็นประธานบริษัทจัสมิน อินเตอ์เนชั่นแนล และหุ้นส่วนคนสำคัญในโครงการโทรศัพท์ 1.5 ล้านเลขหมาย

แม้ว่าการลงทุนของจัสมินไม่หวือหวาเท่ากับยูคอม แต่จัสมินยึดคัมภีร์การลงทุนที่ไม่แตกต่างกันนัก

ช่วงเวลา 2-3 ปีมานี้ จัสมินเปิดบริษัทลูกเพิ่มขึ้น 12 แห่ง ทำธุรกิจตั้งแต่โรงงานผลิตอุปกรณ์รองรับโครงการโทรศัพท์ 1.1 ล้านเลขหมาย ธุรกิจสื่อสารที่เกี่ยวเนื่อง ตั้งแต่การออกแบบก่อสร้างระบบ จนกระทั่งร้านค้าโทรศัพท์มือถือ และอินเตอร์เน็ต

อดิศัย ยังจัดเป็นคนแรกๆ ที่ประกาศยุทธศาสตร์ลงทุนในต่างแดน ทุกวันนี้จัสมินมีกิจการโทรศัพท์มือถือ เพจเจอร์ และโทรศัพท์มือถือผ่านดาวเทียมใน 3 ประเทศคือ อินเดีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ตามลำดับ

เม็ดเงินจำนวน 14,000 ล้านบาท คือ เงินกู้ยืมที่จัสมินนำมาใช้ในกิจการ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเงินสกุลยูเอส 83% เงินบาท 9% ที่เหลือเป็นเงินสกุลเยน และดอยช์มาร์ก

ผู้บริหารของจัสมินชี้แจงว่า เงินกู้จากต่างประเทศจำนวน 95% จะเป็นเงินกู้ระยะยาว อายุเฉลี่ย 6 ปี อีก 5% เป็นเงินกู้ระยะสั้น แต่คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จัสมินก็ยังได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ในราว 2,000 ล้านบาท

ดูเหมือนโชคของจัสมินยังดีอยู่บ้าง ที่ยังมีรายได้จากฐานธุรกิจดั้งเดิม คือ รับเหมาติดตั้งระบบโทรคมนาคมให้กับการสื่อสารฯ และองค์การโทรศัพท์ฯ เคเบิลใยแก้วใต้น้ำ โครงการโทรศัพท์ทางไกลสาธารณะ บริการสื่อสารผ่านดาวเทียม (ISBN) ซึ่งมีองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเป็นลูกค้าเจ้าประจำอยู่แล้ว ซึ่งจัสมินหวังไว้ว่าจะมีรายได้เข้ากระเป๋า 7,500 ล้านบาทในปี 2541

ต้องไม่ลืมว่า จัสมินเองก็ยังมีอีกหลายธุรกิจที่ยังขาดทุน เช่น บริษัทเรดิโอโฟน ให้บริการทรังค์โมบาย ร้านจัสมินสมาร์ทช้อป รวมทั้งในส่วนของบริษัททีทีแอนด์ที ที่มีปัญหาในเรื่องรายได้จนต้องขอให้องค์การโทรศัพท์ฯ เข้ามาถือหุ้นแทนการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทน

ในภาวะเช่นนี้ จัสมินก็ต้องยึดนโยบายเฉือนเนื้อเพื่อรักษาชีวิต โดยยุบบริษัทที่ไม่มีกิจกรรมเช่น จัสมินเคเบิลแมททีเรียล บริษัทอิริคสันไทยเน็ทเวิร์ค ทำธุรกิจผลิตอุปกรณ์ป้อนโครงการโทรศัพท์ 1.1 ล้านเลขหมาย และจัสมินเอ็นเนอยี่ทำธุรกิจพลังงาน

พร้อมกันนี้ ก็ต้องขายหุ้นในบริษัทเจทีโมบายส์ให้บริการโทรศัพท์มือถือในอินเดีย เพื่อนำดอลลาร์เข้าประเทศมาใช้เสริมสภาพคล่อง และชะลอการลงทุนในธุรกิจทั้งหมดเหลือไว้เฉพาะโครงการต่อเนื่องที่จำเป็น เช่น ดาวเทียมเอเชียส และโทรศัพท์มือถือในอินเดีย

"ไม่ต้องพูดถึงการลงทุนในปีหน้า เพราะสิ่งที่เป็นปัญหาสำคัญของธุรกิจในเวลานี้ก็คือสภาพคล่อง และอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท" อดิศัย กล่าว

สิ่งที่เกิดขึ้นกับยูคอม และจัสมินและทุนสื่อสารอื่นๆ จึงสะท้อนสภาพความเป็นจริงของทุนสื่อสารที่เคยเป็นอดีตดาวรุ่งในเวลานี้ได้เป็นอย่างดี



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.