นับแต่มกราคม 2541 เป็นต้นไป บริษัท ไนกี้ จากสหรัฐฯ จะเข้ามาดำเนินการตลาดขายผลิตภัณฑ์ไนกี้ด้วยตนเองในประเทศไทย
นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้บริษัทสปอร์ท เอช ซึ่งเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์การขายและทำตลาดให้ผลิตภัณฑ์ไนกี้มาตั้งแต่ปี
2527 ต้องหาสินค้าตัวใหม่เข้ามาทดแทน
แชมเปี้ยนหรือ Champion เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องกีฬาอีกยี่ห้อหนึ่งที่รู้จักกันดีในสหรัฐอเมริกา
โดยเฉพาะในวงการนักบาสเกตบอลและผู้นิยมชมชอบกีฬาชนิดนี้ เจ้าของแบรนด์เนมนี้คือบริษัท
ซาร่าห์ ลี ซึ่งมีสินค้าหลากหลายประเภทในความดูแล เช่น กีวี-น้ำยาขัดรองเท้า
ขนมเค้ก ซาร่าห์ ลี เป็นต้น
พงษ์ศักดิ์ ธีรนิพัทธ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทสปอร์ท เอช จำกัด กล่าวว่า
"เราเริ่มวางตลาดสินค้าแชมเปี้ยนตั้งแต่เมื่อต้นปี 2540 ที่เรารู้ว่าไนกี้จะไม่ต่อสัญญาให้เราโดยการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ
แต่ตอนหลังค่าเงินและภาษีมูลค่าเพิ่มทำให้เราขอลิขสิทธิ์มาผลิตเอง ซึ่งตอนนี้เราก็ได้มา
4 อย่าง คือ หมวก กระเป๋า ถุงเท้า และรองเท้า"
แชมเปี้ยนเป็นสินค้าที่กลุ่มลูกค้าวัยรุ่นสหรัฐฯ รู้จักเป็นอย่างดี แม้ยี่ห้อนี้มูลค่าสินค้ารวมจะไม่ติดอันดับ
top five แต่ในผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าบาสเกตบอลแล้วอยู่ในอันดับ top ten และสินค้าเสื้อผ้านั้นบริษัทฯ
ก็กำลังเจรจาของสิทธิ์ในการผลิต คาดว่าจะได้ในปีนี้ โดยลิขสิทธิ์ที่ได้จะมีอายุประมาณ
3 ปี
ทั้งนี้ สปอร์ท เอช ขายสินค้าไนกี้มาตั้งแต่ยอดขายแค่ 2-3 ล้านบาทในปีแรกๆ (2527) มาถึงจุดสูงสุดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่ทำยอดขายได้ถึง 600 ล้านบาท
ส่วนยอดขายแชมเปี้ยนในปีนี้ประมาณการไว้ที่ระดับ 200 ล้านบาท โดยมีงบการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ในช่วงแรกนี้ประมาณ
10 ล้านบาท ซึ่งก็ไม่ได้มากมายนักและทางบริษัทแม่คือซาร่าห์ ลี ไม่ได้ช่วยเรื่องงบ
แต่ช่วยเรื่องตัว print งานโฆษณา แต่ส่วนมากบริษัทต้องทำเอง เนื่องจาก print
โฆษณาตัวนั้นไม่เหมาะสมกับตลาดไทยเท่าใดนัก
ในเรื่องอัตราการเติบโตของยอดขายนั้น พงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า "เราไม่กล้าทำนายเลย
เพราะอย่างไนกี้ที่ปีที่แล้วเรายังทำอยู่นั้น ในตอนต้นปีเราทำนายว่าต้องโต
10% แต่ก็พอทราบว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดี พอกลางปีเมื่อมีปัญหาจริง เราก็พยายามรักษาตัวเลขไว้"
ทั้งนี้ ปี 2540 ที่ผ่านมา สปอร์ตเอชทำยอดขายไนกี้ได้รวม 600 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายที่เท่ากับปีก่อนหน้าหมายความว่าไม่อาจเติบโตได้
10% ตามที่คาดหมายตั้งแต่ต้นปี
"ผมก็ถือว่ายอดขายเราไม่ได้ตก เพียงแต่ว่าไม่ได้พุ่งสูงเท่านั้น"
สำหรับสินค้าแชมเปี้ยนนั้น พงษ์ศักดิ์กล่าวถึงอนาคตว่า "ในกรณีที่สินค้าที่ผลิตในไทย
หากมีรูปแบบและคุณภาพในระดับที่พอใจและราคาซื้อขายสามารถตกลงกันได้ เราก็จะมีการส่งออกไปให้
แชมเปี้ยน ในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะฮ่องกง แต่เราก็คงต้องเจอคู่แข่ง ไม่ว่าจะในจีน
อินโดนีเซีย หรือกระทั่งเวียดนาม"
ในจีนนั้นยังไม่ได้มีการวางผลิตภัณฑ์แชมเปี้ยน แต่มีการสั่งให้ออกไปที่ญี่ปุ่น
ซึ่งที่นั่น บริษัท ซาร่าห์ ลี เป็นคนไปทำตลาดเอง "เราก็หวังว่าต่อไป
บริษัทอาจจะมาสั่งจากไทยบ้าง เพราะว่าในเรื่องของราคานั้น เราสามารถแข่งขันได้
แต่ตอนนี้ priority ของเราคือการผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์เนมของเขา และวางตลาดในประเทศให้ได้ดีก่อน"
หากสปอร์ท เอช จะไปวางขายที่ประเทศอื่นนั้นต้องให้บริษัทแม่เป็นคนสั่งให้บริษัทฯ
ผลิต และเขาจะเป็นคนเอาไปจำหน่ายในตลาดต่างๆ เอง เพราะสินค้านี้มีลิขสิทธิ์
ทั้งนี้ regional headquater ของซาร่าห์ ลี ตั้งอยู่ที่ฮ่องกง ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง
และมีอีกบริษัททำหน้าที่เป็นตัวแทนขายไลเซนส์ให้ผู้อื่นไปดำเนินการผลิตในประทศนั้นๆ
สินค้าที่สปอร์ต เอช ผลิตภายใต้แบรนด์เนมดังต่างๆ นั้นมีส่วนประกอบที่เป็นวัตถุดิบพื้นเมืองอยู่ไม่น้อย
บางชิ้นมีถึง 100% เช่น หมวก และกระเป๋าบางรุ่นก็ใช้วัตถุดิบในประเทศ 100%
บางรุ่นก็มีการนำเข้าผ้าจากไต้หวัน เป็นต้น แม้กระทั่งรองเท้านั้น ก็พยายามใช้วัตถุดิบในประเทศให้มากที่สุดบางรุ่นใช้ได้ถึง
80% แต่บางรุ่นอาจจะได้แค่ 50% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าสามารถหาวัตถุดิบในประเทศได้หรือไม่
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา สปอร์ต เอช มีสินค้ารุ่นเดียวที่ออกมา เป็นรองเท้าผ้าใบสำหรับเทนนิสหรือบาสเกตบอลสำหรับคนที่ไม่ชอบใส่หุ้มข้อ
และในปีนี้บริษัทฯ จะเริ่มมีออกมาหลายแบบ ทั้งรองเท้าวิ่ง บาสเกตบอล รองเท้าฟุตบอล
นอกจากธุรกิจตัวนี้แล้ว บริษัทฯ ได้เปิดร้าน sport zone เพื่อขายเครื่องกีฬาหลายๆ ยี่ห้อหลายๆ แบบ มีทั้งแชมเปี้ยน ไนกี้ แพน อาดีดาส ฯลฯ โดยเน้นหนักเทนนิสและฟุตบอล
ตอนนี้อยู่ในช่วงดำเนินการปรับปรุงตกแต่งใหม่จากร้านค้าเดิมที่มีอยู่ ซึ่งคาดว่าจะเปิดได้
10 แห่ง แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 7 แห่ง และต่างจังหวัด 3 แห่ง ซึ่งใช้งบประมาณทำ
sport shop ประมาณ 10 ล้านบาท
ตลาดรวมของรองเท้าที่เป็นอินเตอร์เนชั่นแนลแบรนด์ มีอัตราการเติบโตปกติปีละ
15%-20% แต่ปีนี้ไม่น่าจะโตและใน 2 ปีนี้ก็ไม่น่าจะโต "แต่ก็ไม่แน่
ผมกำลังมองในมุมที่ว่า มองวิกฤติให้เป็นโอกาสนั้น มันก็อาจจะเป็นไปได้คือคนจะมีเวลามากขึ้น
จะออกกำลังกายเพื่อคลายเครียดมากขึ้น ดังนั้น แทนที่ตลาดจะไม่โตก็อาจจะโตขึ้นมาเพราะเหตุนี้ได้"
นอกจากแชมเปี้ยนแล้ว พงษ์ศักดิ์คาดว่าจะทำยี่ห้ออื่นอีก ทั้งนี้วัตถุประสงค์ที่ตั้งบริษัท
สปอร์ท เอช ขึ้นมาเมื่อปี 2527 นั้นก็เพื่อจำหน่าย ไนกี้ อย่างเดียว ไม่ได้ทำยี่ห้ออื่นเลย
จนกระทั่งมาทราบว่าไนกี้ไม่ต่ออายุให้ บริษัทจึงไปติดต่อยี่ห้อแชมเปี้ยนมา
"จากนี้เราจะเปลี่ยน โดยเรากำลังติดต่อยี่ห้ออื่นเข้ามาเพิ่มอีก 2-3
ยี่ห้อ ซึ่งการทำเช่นนี้ไม่มีปัญหากับแชมเปี้ยน ในตัวสัญญาเราเขียนไว้ชัดเจน
แต่ในช่วงที่ผ่านมานั้นเนื่องจากตลาดขยายมาก เราไม่มีเวลาไปดูยี่ห้ออื่น
ได้แต่ทำตัวที่เราขายอยู่ให้ดีที่สุดเท่านั้น"
ซึ่งยี่ห้อที่บริษัทฯ กำลังติดต่ออยู่นั้น ต้องรอดูเวลาอีกสักพัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีเวลานี้ทำให้ต้องใช้เวลาอีกระยะในการตัดสินใจ
สปอร์ท เอช เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มสหยูเนี่ยน กับกลุ่มสหพัฒน์ โดยมีบริษัท
สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง ถือหุ้น 25% บริษัท บางกอกรับเบอร์ 25% และบริษัทสหยูเนี่ยน
50% ดังนั้นบริษัทแม่จึงเป็นบริษัทมหาชนทั้งนั้น ซึ่งก็ช่วยเอื้อประโยชน์ในการติดต่อธุรกิจกับต่างชาติ
เพราะเขาจะมีความมั่นใจในบริษัท
"ผมทำงานอยู่กับกลุ่มนี้มานาน โดยทำตัวไนกี้มาตั้งแต่ปี 2523 ที่เราติดต่อเอาเข้ามาผลิตและปี
2525 ติดต่อเข้ามาจำหน่าย จนปี 2527 ที่ตั้งสปอร์ท เอช มาขายไนกี้อย่างจริงจัง"
พงษ์ศักดิ์กล่าว
มูลค่าตลาดของเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋ากีฬาอยู่ที่ประมาณ 1,200 ล้านบาท
ในส่วนของแบรนด์ต่างประเทศ (ไม่รวม แพน บาจา) ซึ่งมาร์เก็ตแชร์ของไนกี้อยู่ที่ประมาณ
50% อาดิดาสประมาณ 20-25% รีบอคตกอันดับไปอยู่ที่ 10% -15% ที่เหลือก็เป็นแบรนด์เล็กๆ
พงษ์ศักดิ์อธิบายว่า "ปัจจัยที่ทำให้ไนกี้ขายดีคือ แนวคิดที่เราสร้างไนกี้มานั้นก็คือเราผูกกับกีฬามาตลอดว่ากีฬาก็คือไนกี้
โดยเฉพาะกีฬาวิ่ง ซึ่งเราให้การสนับสนุนหรือจัดการวิ่ง เช่น วิ่งเพื่อสุขภาพ
วิ่งแบบ 10 กิโลฯ วิ่งมาราธอนต่างๆ ทุก match ที่เราจัดนั้นเพื่อการกุศลทั้งนั้น
ซึ่งนี่เป็นนโยบาย เรายอมรับว่าไนกี้โตมากับการวิ่งเป็นหลักจะขายดีมากในเรื่องรองเท้าวิ่ง
ส่วนตัวแชมเปี้ยนนั้น แม้ว่าจะมีภาพลักษณ์เป็นบาสเกตบอล เราก็ยังคงภาพนั้นไว้
ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็จะเน้นเรื่องกีฬาด้านอื่นๆ ด้วย
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่สินค้าเครื่องกีฬามีมูลค่าตลาดที่โตขึ้นมานั้น ส่วนหนึ่งก็เกี่ยวกับความนิยมเรื่องการรักษาสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้นของคนไทยด้วย