Reader's Digest เล่มเล็กแต่ตลาดไม่เล็ก


นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2541)



กลับสู่หน้าหลัก

กุมภาพันธ์ปี 2465 หนังสือ Reader's Digest ได้ปรากฏโฉมสู่สายตาชาวโลกเป็นเล่มแรก และนับจากนั้นเป็นต้นมาหนังสือหลายเล่ม หลายภาษา รวมทั้งสินค้าด้านเทคโนโลยี ต่างทยอยออกมาจนเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก และปัจจุบัน Reader's Digest สามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของนักอ่านทั่วโลก ดูได้จากขณะนี้มียอดขายเดือนละ 27 ล้านฉบับจาก 19 ภาษา ผลการดำเนินงาน 3 ปีล่าสุด โดยปี 2538-2540 (สิ้นสุด 30 มิถุนายน) ที่มีรายได้ 3,068.5, 3,098.1 และ 2,839 ล้านเหรียญสหรัฐ และกำไรสุทธิปี 2538-2540 เท่ากับ 264, 80.6 และ 133.5 ล้านเหรียญสหรัฐตามลำดับ

โดยมีส่วนแบ่งรายได้จากอเมริกา 45% ยุโรป 41% และเอเชียแปซิฟิกและตลาดอื่นๆ 16% และมีผลิตภัณฑ์หลักๆ คือ หนังสือความรู้ทั่วไปและสิ่งบันเทิงต่างๆ สามารถทำรายได้สูงถึง 65% ของรายได้ทั้งหมด รองลงไป คือ นิตยสาร Reader's Digest 26% ผลิตภัณฑ์อื่นๆ 6% และนิตยสารเฉพาะด้าน 3%

สำหรับคนไทยรู้จักหนังสือ Reader's Digest ที่แปลเป็นภาษาไทย ในนาม "Reader's Digest สรรสาระ" ที่เข้ามาบุกตลาดคนไทยเมื่อปี 2538 และเล่มแรกที่ออกวางจำหน่ายเมื่อเดือนเมษายน 2539 ขนถึงปัจจุบันมียอดจำหน่ายต่อเดือนสูงถึง 116,314 ฉบับ (ตรวจสอบและรับรองอย่างเป็นทางการโดย Audit Bureau of Circulations : ABC)

จุดเริ่มต้นของ Reader's Digest ในไทย เกิดจากความมั่นใจของบริษัทแม่ที่อเมริกาคาดว่าในอนาคต ตลาดนักอ่านในไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือญี่ปุ่นมาแล้ว ดังนั้น จึงได้ตั้งบริษัทลูกขึ้นชื่อ บริษัท รีดเดอร์ส ไดเจสท์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยมี ศุภชัย สุนทรผดุงสิน เป็นกรรมการบริหารผู้จัดการใหญ่ ด้วยทุนจดทะเบียน 4 ล้านเหรียญสหรัฐ

"เราเริ่มจากไม่มีอะไรเลยในการตั้ง Reader's Digest ในไทย ช่วงแรกๆ ต้องรับการช่วยเหลือจากบริษัทแม่ในอเมริกาและ Reader's Digest ในฮ่องกงอย่างมาก เดี๋ยวนี้เรายังต้องการพี่เลี้ยงเหมือนเดิมทั้งวิธีการผลิต บริหาร หรือด้านข้อมูล" ศุภชัย กล่าว

จากตัวเลขยอดขายที่ทำได้ระดับแสนเล่มภายในไม่ถึง 2 ปี นับว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียว เป็นผลมาจากการทำตลาดแบบเชิงรุกด้วยการส่งจดหมายไปตามที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งในจดหมายนั้นมีทั้งใบตอบรับสมาชิก ใบชิงโชครางวัลต่างๆ โดยผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกก็สามารถมีสิทธิ์ชิงรางวัลได้ ด้วยวิธีการทำตลาดดังกล่าวในไทยนี้ถือว่ายังใหม่อยู่มาก

วิธีการตลาดดังกล่าวของ Reader's Digest หลายๆ คนที่ได้รับจดหมายนอกจากจะได้รับใบตอบรับสมาชิกหรือใบชิงรางวัล ยังจะได้รับของชำร่วยต่างๆ นานา หรืออาจจะได้รับใบเสร็จรับเงินทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นสมาชิก แม้บางคนจะไม่ตอบกลับแต่ก็ยังจะได้รับจดหมายอยู่บ่อยครั้ง วิธีการนี้อาจเรียกได้ว่า ตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลก แต่ทำให้เกิดความไม่พอใจและหงุดหงิดต่อหลายคนพอสมควร

"ช่วงแรกๆ จะส่งจดหมายไปตามบ้าน และเนื่องจากเรายังใหม่มากคนไทยไม่รู้จักและยังไม่เข้าใจ ทำให้คนที่ได้รับจดหมายโทรเข้ามาและไถ่ถามว่า 'อะไร' นี่คือปัญหาของเรา และบางคนยังโทรมาบอกว่าวิธีการอย่างนี้เป็นวิธีการไม่ถูกต้อง 'หลอกลวง' แต่ช่วงนี้ก็เริ่มลดลงจนเกือบหมดแล้ว และเราคาดว่าปัญหาต่างๆ เหล่านี้จะค่อยๆ หมดไปและคาดว่าไม่เกิน 5 ปีการทำงานของเราจะง่ายขึ้นกว่านี้" ศุภชัย กล่าว

จากยอดขายรวมทั้งหมดต่อเดือนเกือบทั้งหมดจะมาจากการเป็นสมาชิกที่มีสูงถึง 111,959 ฉบับ จำหน่ายตามแผงทั่วไป 4,000 ฉบับ และจำหน่ายให้กับบริการการบินไทยอีก 355 ฉบับ และจากข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกของ Reader's Digest ในไทยปรากฏว่าผู้อ่านจะกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ 90.5% ต่างจังหวัด 9.5% โดยผู้อ่านส่วนใหญ่จะมีอายุประมาณ 26-35 ปี รองลงไปอายุประมาณ 36-45 ปี มีรายได้อยู่ในช่วง 25,001-75,000 บาทต่อเดือน และส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริหารภาคเอกชน รองลงไปเป็นภาครัฐบาลและรัฐวิสาหกิจนั่นหมายความว่าผู้อ่าน Reader's Digest ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดประมาณ 85% จะมีการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า

ที่ผ่านมา ศุภชัย ได้นำหนังสือเข้ามาจำหน่ายในไทยเพียงไม่กี่เล่ม โดยหนังสือที่สามารถทำรายได้ให้ Reader's Digest ประเทศไทยมากที่สุดเป็นหนังสือความรู้ทั่วไป เทป วิดีโอ ประมาณ 55% นิตยสาร Reader's Digest สรรสาระประมาณ 35% และจากค่าโฆษณาประมาณ 10% และสามารถทำยอดขายให้บริษัทแม่เป็นอันดับ 4 รองจากไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินเดีย ตามลำดับ

อย่างไรก็ตามการรุกด้านการตลาดในไทยยังไม่เต็มที่ เพราะหนังสือที่บริษัทจะนำเข้ามาหรือผลิตออกมาจำหน่ายยังมีอีกมาก เรื่องนี้ ศุภชัย เปิดเผยว่า ปี 2541 จะมีหนังสือออกวางจำหน่าย คือ หนังสือเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ, การปรุงอาหาร, ความเร้นลับด้านธรรมชาติและศาสตร์แห่งศัพท์ ซึ่งจะเน้นภาษาอังกฤษ

"คิดว่าคนไทยยังอ่านหนังสือเราไม่มาก ตัวเลขแสนเล่มยังน้อยไป ซึ่งตามความรู้สึกน่าจะประมาณ 3 แสนเล่ม เพราะพฤติกรรมการอ่านหนังสือคนไทยยังไม่มากเท่ากับฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ดังนั้นเราคาดว่าในอนาคตการอ่านหนังสือคนไทยจะมากขึ้นเรื่อยๆ และเราจะบุกตลาดมากขึ้น"

และในปี 2541 นี้ นับว่าเป็นก้าวสำคัญของ Reader's Digest ในไทยอย่างแท้จริง เนื่องจากเป็นปีแห่งความซบเซาทุกวงการ ดังนั้นคนไทยส่วนใหญ่จะต้องประหยัดกันมากขึ้น การใช้จ่ายคงต้องคำนึงถึงความจำเป็นสำคัญเช่นเดียวกับการใช้จ่ายเพื่อซื้อหนังสือสักเล่ม เรื่องนี้ ศุภชัย เล่าว่า นโยบายของบริษัท คือ การไม่ขึ้นราคาซึ่งจะเน้นปริมาณยอดขายดีกว่าขึ้นราคาแล้วยอดขายลดลง

"และปีนี้การเติบโตเราจะสวนกระแส โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ว่าจะโตกว่าปีที่ผ่านมาประมาณ 10% และมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 900% สาเหตุที่สูงเช่นนี้เพราะมีสินค้ามากขึ้น อีกทั้งค่อนข้างโชคดี คือ รายได้จากค่าโฆษณาจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20% จากที่เคยทำได้เดือนละ 1 ล้านบาท" ศุภชัย กล่าว

คงจะต้องติดตามกันต่อไปว่าหนังสือระดับโลกอย่าง Reader's Digest จะฝ่าฝันเศรษฐกิจปี 2541 ไปได้หรือไม่ เพราะหลายๆ คนยังดูไม่ออกว่าอัตราการเติบโตที่ผ่านมาเป็นของจริงหรือของปลอม



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.