ในวันแถลงผลการดำเนินงานของทริสในรอบปี' 40 เมื่อปลายเดือนธันวาคม เจ้าหน้าที่ประกาศว่าจะมีหัวข้อที่แถลง
4 หัวข้อ โดย 3 หัวข้อแรกจะเกี่ยวกับงานของทริสที่ทำตลอดระยะเวลา 1 ปี และทิศทางในอนาคต
รวมทั้งผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ส่วนหัวข้อสุดท้ายจะเป็นเรื่องเฉพาะกิจของกรรมการผู้จัดการ
นักข่าวที่นั่งฟังการแถลงผลการดำเนินงานคงมีความรู้สึกที่ไม่ต่างกันนักว่า
3 หัวข้อแรกน่าสนใจกว่า ส่วนเรื่องสุดท้ายที่จะคุยคงเป็นไอเดียทำธุรกิจหรือออกสินค้าใหม่ของทริสเป็นแน่
เพราะเป็นปกติของกรรมการผู้จัดการที่ชื่อ ดร. วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ ซึ่งจะมีความคิดใหม่ๆ ทั้งที่ทำได้หรือทำได้ยากออกมาอยู่ตลอดเวลา
แต่หลังจากฟังการแถลงข่าวจนจบแล้ว ความสนใจกลับมุ่งไปที่เรื่องสุดท้ายมากกว่าประเด็นผลการดำเนินงานของทริส
นั่นคือประเด็นการลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของ ดร. วุฒิพงษ์
แน่นอนว่าทุกคนต้องถามว่าเกิดอะรไขึ้น ทำไมถึงลาออก เพราะจะว่าไปแล้ว ที่ผ่านมาช่วง
4-5 ปีมานี้ ทริสกับดร. วุฒิพงษ์แยกกันไม่ออกทีเดียว
นอกจากข้อความที่ออกจากปากว่า "จริงๆ ขอลาออกตั้งแต่หมดวาระแล้ว
แต่ถูกขอให้ช่วยต่อ" และเพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ ดร. วุฒิพงษ์ได้แจกเอกสารคล้ายกับจดหมายขอบคุณและอำลาความยาว
2 หน้ากระดาษ A4 เท้าความตั้งแต่ครั้งก่อตั้งทริสขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี'
36 ซึ่งยังขออาศัยพื้นที่ของ IFCT เป็นที่ทำการชั่วคราว จนถึงปัจจุบันที่มีที่ทำการเป็นกิจจะลักษณะ
เป็นที่ยอมรับจากคนในวงการธุรกิจในด้านผลงาน และมีชื่อเสียงในวงกว้าง
ในตอนหนึ่งของเอกสารที่ ดร. วุฒิพงษ์ได้เขียนไว้ว่า "เมื่อมีการเริ่มต้นก็ย่อมมีการเลิกรา
หลังจากที่ได้พบ ได้เห็น ได้ภูมิใจ ได้เหน็ดเหนื่อย และได้ผ่านเหตุการณ์นานัปการในองค์กรแห่งนี้
ผมพบว่าวาระการบริหารงานที่ทริสก้าวถึงจังหวะอันเหมาะสม แล้วจึงตัดสินใจลาออก"
และตามมาด้วยเป้าหมาย 3 เรื่องที่ต้องการจะทำหลังจากลาออกแล้วนั่นคือ
การเขียนหนังสือหรือบทความจากประสบการณ์ที่ได้จากการประเมินองค์กรทั้งสามภาค
คือ ราชการ เอกชน และรัฐวิสาหกิจ เป้าหมายเรื่องที่สองคือ จะทำหน้าที่วิจารณ์หรือให้แง่มุมแก่สาธารณะ
โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีผลกระทบต่อทริส เพราะที่ผ่านมาแม้จะออกตัวว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัว
ก็มักถูกอ้างอิงให้โยงไปผูกกับทริสอยู่ด้วยเสมอ
เรื่องที่สาม จะตั้งองค์กรใหม่เพื่อทำหน้าที่ด้านการประเมิน และจัดอันดับบริการทางสังคมที่หน่วยงานทั้งของภาครัฐและเอกชนให้แก่สาธารณชน
เช่นการจัดอันดับสถาบันการศึกษา การจัดอันดับโรงพยาบาล ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองผู้บริโภคและสาธารณชนที่เป็นรูปธรรม
ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดตั้งภายใต้ชื่อ "อิสสรา" ย่อมาจากภาษาอังกฤษว่า
Institute for Social Service Rating and Accreditation (ISSRA)
จากเป้าหมายทั้ง 3 ข้อที่ให้รายละเอียดอย่างยืดยาวนี้ก็ไม่ได้ชี้ชัดว่าสาเหตุหลักคืออะไร
และถ้ามองในตัวทริสเองก็ยังมีงานต้องพัฒนาให้กว้างออกไปอีก ทั้งในเรื่องการจัดอันดับประกันภัย
และการทำ Securitization ถ้ามีความคิดสร้างสรรค์งานเช่นนี้ เหตุผลในเรื่องความอิ่มตัวในงานจึงน่าจะหมดไป
ข้อสมมติฐานอีกประการ โดยปกติเทอมการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของทริส
มี 4 ปี แต่ ดร. วุฒิพงษ์เพิ่งได้รับการต่ออายุเป็นวาระที่สองเมื่อเดือนมีนาคมปี'
40 นี้เอง จึงดำรงตำแหน่งในวาระที่สองเพียงปีเดียวเท่านั้น
หลายคนมองว่า ดร. วุฒิพงษ์ อาจถูกแรงกดดันจากกรณีของ บง. เอกธนกิจ หรือ
Fin1 ซึ่งก่อนหน้าดีล Fin1 กับ ธ. ไทยทนุจะล้มนั้น เครดิตเรตติ้งของ Fin1
อยู่ที่ A+ แต่หลังจากนั้นจนถึงลดอันดับลง ก็ไม่มีการประกาศออกมาอีกเลย คาดว่าคงอยู่แถวๆ B หรือต่ำกว่านั้น
จากกรณีนี้เองที่ทริสถูกโจมตีค่อนข้างมากในแง่ข้อมูลที่มีอยู่ในมือ น่าจะส่งสัญญาณบอกนักลงทุนหรือประชาชนให้ระวัง
ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ถึงขั้นปิดกิจการ จนมีคนตั้งข้อสงสัยว่า แท้จริงแล้วเครดิตเรตติ้งจะบอกหรือบ่งความหมายอย่างใดได้บ้าง?
หรือประโยชน์จากเครดิตเรตติ้งแท้จริงแล้วคืออะไร?
จากการโจมตีกรณีนี้ ดร. วุฒิพงษ์กล่าวว่า "เขาพูดเหมือนกับว่าเราทำอยู่บริษัทเดียวคือ
Fin1 เท่านั้นซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ แต่ข้อกล่าวหานี้ก็เป็นภาพหลอนอยู่ในใจเรามาตลอด"
ดังนั้น บางกลุ่มจึงมองว่า อาจจะเป็นเหตุนี้ที่ทำให้ ดร. วุฒิพงษ์ พิจารณาตัวเองและตัดสินใจลาออก
อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่ากรณีของ Fin1 จะเป็นกรณีตัวอย่างสำหรับเอกชนไทยได้ว่าในการเปิดเผยข้อมูลนั้น
ต้องอยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใสถูกต้องด้วย มิฉะนั้นเหตุการณ์อย่างนี้ก็อาจเกิดขึ้นอีกได้ที่สถานภาพของบริษัทย่ำแย่
ในขณะที่ตัวเลขผลประกอบการแสดงออกมาอย่างสวยหรู แต่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
ซึ่งเบื้องหลังการพิจารณากรณีของ Fin1 ทางคณะกรรมการของทริสได้มีการทบทวนเช่นกัน
เมื่อมีความเคลื่อนไหวหรือข่าวลือออกมา "แต่เมื่อเรานำเอกสารที่ได้มาจากทางบริษัทที่เสนอต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ
ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีอะไรผิดปกติตรงข้ามกับยังมีผลกำไรดีขึ้นด้วยซ้ำ" ดร.
วุฒิพงษ์กล่าวและเสริมว่า
"เราจึงต้องมานั่งพิจารณาว่าจะเชื่อตามข่าวลือที่เกิดขึ้น หรือจะเชื่อจากเอกสารที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีเอกชน
และจากข้อมูลของฝ่ายกำกับดูแลรัฐ และในที่สุดเราก็ต้องยึดตามหลักการไว้ก่อน
คือเอาตามตัวเลขในเอกสาร"
ความผิดพลาดอันเนื่องมาจากการได้รับข้อมูลที่ไม่โปร่งใสนั้นเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้
โดยเฉพาะในกรณีของ Fin1 ซึ่งมีข้อมูลที่ค่อนข้างซับซ้อนพอสมควร แม้แต่บริษัทที่ปรึกษาต่างประเทศรายใหญ่อย่างลีห์แมน
บราเธอร์เองก็ยังยอมรับว่า เขาพลาดในกรณีของ Fin1 เช่นกัน แต่เป็นการพลาดหนหนึ่งเท่านั้นในจำนวนลูกค้าหลายรายที่เขาดีลอยู่
ความผิดพลาดจากการทำงานที่ถูกต้อง ตรงตามแนวทางและวิธีการที่วางไว้ จึงไม่น่าจะเป็นเหตุผลในการลาออกครั้งนี้
ประกอบกับกรณีของ Fin1 ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดความกดดันจากคำวิพากษ์วิจารณ์
เพราะที่ผ่านมางานแทบทุกงานของทริสมักจะได้รับเสียงสะท้อนกลับ ทั้งในด้านคัดค้านหรือติติงมากกว่าสนับสนุนอยู่เสมอ
จนถึงขนาดว่ากรรมการผู้จัดการคนนี้ ออกปากเองว่า "อาจจะดูเหมือนซาดิสต์"
เพราะงานทุกงานหรือไอเดียที่ออกมามักจะได้ผลสะท้อนกลับที่แรงเกือบทุกครั้งไป
เมื่อพิจารณาหลายๆ จุดแล้ว ดูเหมือนไม่น่ามีมูลเหตุที่จะมาโยงกับการลาออกได้อีกแล้ว
แต่วลีหนึ่งที่ ดร. วุฒิพงษ์พูดอยู่บ่อยๆ รวมทั้งในงานแถลงข่าวครั้งนี้ด้วย
เมื่อพูดถึงบริษัทใหม่ที่จะไปทำก็คือ "ชอบว่ายทวนน้ำ" ซึ่งหมายถึงงานที่ทำมักจะต้องมีเสียงทัดทานอยู่เรื่อยไป
รวมถึงงานในบริษัทอันได้แก่ การจัดอันดับสถาบันการศึกษาและโรงพยาบาล
เพราะทันทีที่ 2 โครงการนี้ออกมาไล่ๆ กัน ก็ได้รับเสียงสะท้อน ในทำนองคัดค้านค่อนข้างมากกว่าที่เคยได้รับ
เพราะเป็นงานนอกสายงานของธุรกิจหลัก ซึ่งโดยจุดประสงค์การก่อตั้งก็เพื่อพัฒนาตลาดเงินตลาดทุนเป็นหลัก
พองานใหม่เปิดตัวออกมา นอกจากเสียงคัดค้านแล้ว แน่นอนอาจจะมีเสียงปรามาสตามมาด้วย
เพราะถือว่าทริสยุ่งไม่เข้าเรื่องหรือไม่ก็ทำนองว่าจะทำได้หรือ?
"ผมออกมาอย่างนี้ก็จะเป็นความสบายใจของทั้งฝ่าย ก.ล.ต. และตัวผมเอง
เพราะที่ผ่านมา ก.ล.ต. ในฐานะเป็นฝ่ายกำกับดูแลอาจไม่ค่อยสบายใจนักที่เราออกไปทำนอกข่ายงาน
แต่ผมมองว่าเป็นการนำเทคโนโลยีการจัดอันดับ มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในงานด้านต่างๆ" ดร. วุฒิพงษ์ชี้แจง
มูลเหตุนี้อาจจะเป็นตัวผลักดันสำคัญ นอกเหนือไปจากความสนใจในด้านสังคมที่มีอยู่ก่อนแล้ว
ซึ่งระยะหลังๆ ตั้งแต่ต้นปี' 40 หลังจบงานแถลงข่าวของทริสแต่ละครั้งถ้ายังมีเวลาคุยกับนักข่าว
ดร. วุฒิพงษ์มักจะเสนอความคิดเรื่องการปรับปรุงระบบโปรแกรมการศึกษา รวมทั้งการพัฒนาเนื้อหาและวิธีการสอนในระดับมัธยม
เพื่อสร้างคุณภาพเด็กก่อนเข้าสู่ในระดับมหาวิทยาลัย โดยงานดังกล่าวอาจดำเนินการได้โดยการจัดตั้งมูลนิธิขึ้นมาทำ
และเขายืนยันว่าสามารถจะบริหารให้ได้ทั้งเงินและกล่อง เหมือนที่ทำมาแล้วในทริส
ดังนั้น แนวทางของ "อิสสรา" บริษัทใหม่นี้ก็ไม่ต่างจากแนวคิดข้างต้นนัก
เพราะ ดร. วุฒิพงษ์ตั้งใจจะให้เป็นองค์กรที่ไม่หวังกำไรอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามทุนขั้นต้นในการบริหารคาดว่าต้องใช้ประมาณ
50 ล้านบาท ส่วนผู้ร่วมก่อตั้งนั้นก็เริ่มๆ ทาบทามผู้หลักผู้ใหญ่ไว้หลายท่าน
เช่น น.พ. ประเวศ วะสี, ศ.น.พ. จรัส สุวรรณเวลา รวมทั้ง สกว. สมาคม สถาบันวิจัยที่เกี่ยวข้อง
มูลนิธิ และหน่วยงาน NGO
ดร. วุฒิพงษ์ คาดว่าการลาออกของเขาจะมีผลอย่างเป็นทางการประมาณต้นเดือนมีนาคมปี'
41 เพราะมีการประชุมผู้ถือหุ้น หลังจากนั้นจะพักผ่อนก่อนจะเริ่มงานใหม่ในครึ่งปีหลัง
ส่วนตอนนี้ก็ต้องมองหาผู้บริหารใหม่ ซึ่งกำหนดอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป มีประสบการณ์ในแวดวงการเงินไม่น้อยกว่า
10 ปี พูดและเขียนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และที่สำคัญประวัติต้องดีมากๆ ใครสนใจก็สมัครไปได้ที่ทริส
สำหรับทริสนั้น ณ สิ้นปี' 40ทำการจัดอันดับเครดิตแก่หน่วยงานต่างๆ ทั้งธุรกิจเอกชน
สถาบันการเงิน และรัฐวิสาหกิจทั้งสิ้น 10 ราย คิดเป็นมูลค่าตราสารหนี้ที่มีอันดับ
6.25 พันล้านบาท ทั้งนี้ที่มีการเผยแพร่มีเพียง 1 ราย คือ บมจ. ซิงเกอร์
(ประเทศไทย) และที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนอีก 9 ราย
ด้านการจัดอันดับผลการดำเนินงานทำให้แก่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ
2540 จำนวน 27 แห่ง รวมทั้งจัดอันดับผลการดำเนินงานหน่วยราชการระดับกรมอีก
3 แห่งได้แก่ กรมสรรพากร, กรมทะเบียนการค้า และสำนักงานประกันสังคม
ส่วนผลการดำเนินงานถือว่าในระดับหนึ่ง เพราะในปัจจุบันแม้เศรษฐกิจจะซบเซาแต่ปี'
40 ทริสก็ยังมีรายได้ประมาณ 75.4 ล้านบาท แยกเป็นรายได้จากบริการจัดอันดับเครดิต
33.1% บริการจัดอันดับผลการดำเนินงาน (หน่วยราชการ+รัฐวิสาหกิจ) 56.4% บริการสารสนเทศ
1.6% รายได้ดอกเบี้ยรับ 8.4% และรายได้อื่น 0.5% และคาดว่าจะมีกำไรประมาณ
19.7 ล้านบาท
การยังคงกำไรของทริสนั้นส่วนใหญ่มาจากงานบริการเสริมที่คิดขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่งานจัดเครดิตที่เป็นงานแกนของสำนักงานเพราะงานเครดิตนี้
ณ สิ้นปี' 40 จะมีเพียง 27 รายเท่านั้น ลดจากปี' 39 ค่อนข้างมากเพราะเดิมมีอยู่ถึง
61 ราย
ผลที่ออกมาเช่นนี้ทำให้น่าคิดว่า ไอเดียใหม่ๆ ก็ใช้ได้ดีและมีประโยชน์ได้เสมอ
ถ้ารู้จักยอมรับและพัฒนาตัวเอง