เปิดความจริงดบ.ต่ำ รัฐ-ธปท.เดินผิดทาง


ผู้จัดการรายวัน(23 เมษายน 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

ผ่าโครงสร้างระบบตลาดเงินยุค"ดอกเบี้ยต่ำ" แบงก์ชาติส่งสัญญาณ พลาด ทำให้นโยบายรัฐบาลที่ต้องการเห็นดอกเบี้ยลง-สินเชื่อถูกปล่อยกระตุ้นเศรษฐกิจล้มเหลว

ผลพวงที่ได้กลับเป็นแบงก์พาณิชย์ที่เห็นแก่ตัวตักตวงผลกำไรจากส่วนต่างอัตราดอก เบี้ยอิ่มแปล้ โยนภาระแก้ปัญหาเอ็นพีแอลให้รัฐบาล ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายการเงินอย่างจริงจัง

ภาวะสภาพคล่องตลาดเงินไทยที่ขณะนี้มีกว่า 500,000ล้านบาททำให้ธนาคารพาณิชย์โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์เอกชนใช้เป็นข้ออ้างในความพยายามลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง หลังจากธนาคาร

แห่งประเทศไทยส่งสัญญาณผิดพลาดในการประกาศลดอัตราดอก เบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร (Repurchase Open Market Operation)-Repo) ถึง 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2544 และ 21 มกรา-คม

2545 ทำให้อัตราดอกเบี้ย Repo 14 วันลดจาก 2.5% มาอยู่ที่ 2% ปัจจุบัน โดยล่าสุดคณะกรรม การนโยบายการเงินมีมติคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้(อ่านข่าวล้อมกรอบ)

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจที่รายงานโดยธนาคารแห่งประเทศไทยช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ยังไร้วี่แววฟื้นตัวอย่างจริงจังแม้หลายฝ่ายคาดว่าช่วงไตรมาสแรกปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณ 2%

แต่ตัวเลขการส่งออกยังแสดงการหดตัวต่อเนื่องถึง 6.4% และ 8.2%ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ตามลำดับ ส่วนตัวเลขการส่งออกจากกระทรวงพาณิชย์เดือนมีนาคมปีนี้ประมาณ 5.3

พันล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งลดลงจาก 6.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเดือนมีนาคม 2544

ทางด้านยอดเงินฝากระบบธนาคารพาณิชย์ไทยจากตัวเลขที่รายงานโดยธนาคารแห่งประเทศไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 4.6% และ 5.1% เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ตามลำดับ

ส่วนตัวเลขสินเชื่อธนาคารพาณิชย์หดตัวประมาณ 5.9% และ 4.2% ช่วงมกราคม และกุมภาพันธ์ตามลำดับ ว่าไปแล้ว รัฐบาลทักษิณ

ชินวัตรมีนโยบายชัดเจนว่าต้องการกดให้อัตราดอกเบี้ยลดต่ำลงเพื่อกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อสถาบันการเงินและช่วยให้การแก้ปัญหาหนี้เสีย(Non-performing Loans) ประสบความสำเร็จ

แต่ทว่าจุดประสงค์ทั้ง 2 ประการนี้ยังไม่บรรลุ ผลตามความประสงค์! สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้คือ ธนาคารพาณิชย์เริ่มฟื้นตัวโดยรายงานผลประกอบการกำไร

สุทธิหลายไตรมาสหากดูในรายละเอียดด้านงบการเงิน พบว่า ตัวเลขทำกำไร มาจาก การมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Interest Spread เพิ่มขึ้น ขณะที่ตัวเลขรายได้จากการปล่อยสินเชื่อ และ

การแก้ปัญหาหนี้เสียไม่เติบโตแต่อย่างใด ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาสแรกปี 2545 ปรับตัวเพิ่มจากไตรมาส สุดท้ายปี 2544

เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมากกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ ธนาคารกรุงเทพส่วนต่างสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 1.79% เป็น 1.85% ธนาคารกรุงไทย เพิ่มจาก 2.09% เป็น 2.15% ธนาคารกสิกรไทย เพิ่มจาก

2.18% เป็น 2.25% ธนาคารไทยพาณิชย์ เพิ่มจาก 2.32% เป็น 2.35% ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพิ่มจาก 0.97% เป็น 1.05% ธนาคารทหารไทย เพิ่มจาก 1.30% เป็น 1.50% ธนาคารไทยธนาคาร เพิ่มจาก

0.28% เป็น 0.30% และธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ เพิ่มจาก 2.29% เป็น 2.40% สภาพคล่องล้นมรดกรัฐบาลชวน-ธารินทร์ สภาพคล่องตลาดเงินไทยที่ปัจจุบันมีกว่า 5

แสนล้านบาทเป็นผลจากนโยบายผิดพลาด 5 ปีที่แล้วสืบเนื่องตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มีอดีตรัฐมนตรีคลังธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นมือเศรษฐกิจหลักของรัฐบาลชวน หลีกภัย

ที่แก้ปัญหาระบบสถาบันการเงินไทยโดยรับคำสั่งจากกอง ทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund)โดยไม่ต่อรองใด ๆทั้งสิ้น เพื่อผลประโยชน์ของเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง โดย 5

ปีให้หลังเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟยอมรับข้อผิดพลาดที่ชี้นำการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทย จนชักนำให้เศรษฐกิจของชาติที่เคยได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในเอเชียชาติหนึ่งต้องกลายเป็น"โรคต้มยำกุ้ง" (Tom Yum

Koong Disease)ที่สื่อมวลชนตะวันตกตั้งฉายาว่าเป็นสาเหตุให้เศรษฐกิจทั่วโลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจเอเชียมีปัญหา

ส่งผลให้เกิดการปลดพนักงานสถาบันการเงินขนานใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยทำให้บริษัทธุรกิจต่างๆทั้งใหญ่-กลาง-เล็กล้มระเนระนาด อย่างที่เรา ๆท่าน

ๆซาบซึ้งถึงพิษเศรษฐกิจรอบนี้กันถ้วนหน้าดีอยู่แล้ว ขณะที่สถาบันการเงินไทย โดยเฉพาะธนาคาร พาณิชย์เอกชนต่างเกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดราย ได้ (Non-performing loans-NPLs)

กันถ้วนทั่วทุกแห่ง โดยตัวเลขความเสียหายจากเอ็นพีแอลที่กอง ทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินรับไปแล้วมีจำนวนกว่า 500,000 ล้านบาทและยังมีเป้าหมายเพิ่มเป็น1.4

ล้านล้านบาทภายในปีนี้เป็นบทพิสูจน์หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่านโยบายการแก้ปัญหาสถาบันการเงินในช่วงที่ผ่านมามีข้อผิดพลาด แม้กระทั่งรัฐบาลปัจจุบันที่ได้ตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ ไทย (บสท.)

เพื่อเป็นที่รับโอนเอ็นพีแอลจากระบบสถาบันการเงินทั้งระบบ ปัจจุบันก็จัดการปัญหาเอ็นพีแอลได้เพียงกว่าแสนล้านบาทเท่านั้น

นี่เป็นผลพวงที่สะท้อนความล้มเหลวของการแก้ปัญหาเอ็นพีแอลทั้งระบบเป็นอย่างดี! ขณะที่ตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ว่า 2 เดือนแรกปีนี้ เอ็นพีแอลธนาคารพาณิชย์ ลดจากปลายปี 2544

เพียง 0.13% จากประมาณ 443,720 ล้านบาท มาอยู่ที่ 443,140 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อรวมเพิ่มจาก11.59% ณ.สิ้นปี 2544 มาที่ 11.65% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2545

สาเหตุหลักเพราะยอดสินเชื่อรวมหดตัว ขณะที่สิ้นไตรมาสแรกปีนี้ คาดว่าเอ็นพีแอลระบบธนาคารพาณิชย์จะเพิ่มจากสิ้นปี 2544

ตามการเพิ่มของหนี้เสียจากกลุ่มธนาคารเอกชนขนาดใหญ่เป็นหลักขณะที่กลุ่มธนาคารลูกครึ่งและกลุ่มธนาคารรัฐคาดว่าจะลดลง โดยประมาณการว่าเอ็นพีแอลระบบธนาคาร จะอยู่ที่ประมาณ

443,900ล้านบาทหรือประมาณ11.7% ของสินเชื่อรวม ตัวเลขเอ็นพีแอลเหล่านี้แทบจะไม่ลดลงเลยเมื่อเทียบกับสมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธเมื่อกว่า 6 ปีที่แล้วและถือเป็นผลพวงความผิดพลาด

นโยบาย14 สิงหาคมของอดีตรัฐมนตรีคลังนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์กว่า 5 ปีที่ผ่านมาที่มีนโยบายช่วยเพิ่มเงินกองทุนขั้นที่ 1 และ 2

ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย และนโยบายที่ให้สถาบันการเงินต่างชาติครอบงำกิจการธนาคารพาณิชย์ไทย จนปัจจุบันแทบไม่เหลือธนาคารพาณิชย์ ไทยแท้ๆ

ขณะที่รัฐบาลโดยผ่านกลไกกองทุนฟื้นฟูฯได้ออกตราสารหนี้กว่า 800,000

ล้านบาทแล้วโดยจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง เพื่อช่วยดูดซับสภาพคล่องระบบธนาคารพาณิชย์ โดยตราสารเหล่านี้สามารถนับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 และ 2 ของธนาคาร พาณิชย์ได้

ทั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์ และแม้กระทั่งรัฐบาลปัจจุบันยังได้ช่วย "อุ้ม" ธนาคารพาณิชย์สุดๆ เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งธนาคารพาณิชย์

ขนาดเล็กอยู่รอดโดยที่ใช้เงินจากผู้เสียภาษีอากรหรือประชาชนทั่วไปอย่างเราๆท่านๆ ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่ามาตรการต่าง

ๆดังกล่าวจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้ยั่งยืน โดยหนึ่งในความหวัง คือกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติมให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่

เพื่อให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเหล่านี้ ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดฝอย และเส้นเลือดใหญ่ของระบบเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได ้เพื่อสร้างงานและรายได้กลับสู่ภาคเศรษฐกิจ กระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวและเติบโตอย่างยั่งยืน

แต่ผลที่เกิดขึ้นจริงธนาคารพาณิชย์โดยเฉพาะ ธนาคารพาณิชย์เอกชนกลับไม่ยอมปล่อยสินเชื่อเพิ่มโดยอ้างว่าเกรงจะเกิดปัญหาเอ็นพีแอลย้อนกลับ

เมื่อธนาคารพาณิชย์เอกชนไม่ยอมปล่อยสินเชื่อเพิ่มภาระหนักในการกระตุ้นการฟื้นตัวเศรษฐกิจ จึงตกกับธนาคารพาณิชย์รัฐที่ต้องเป็นหัวหอกปล่อย สินเชื่อเพิ่มให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม

ขณะที่ธนาคารพาณิชย์เอกชนอ้างปัญหาสภาพ คล่องทางการเงินล้นตลาดเงินไทย กว่า 500,000 ล้านบาทปัจจุบัน ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระลอกแล้วระลอกเล่า

โดยพยายามรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากที่ไม่ต่ำกว่า 5%เพื่อคงกำไรของธนาคารโดยไม่ยอมปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติมแต่อย่างใด

ขณะที่นโยบายรัฐบาลห้ามออกตราสารเอ็นซีดี (NegotiableสสCertificate of Deposits)เกินกว่า 3 ปีและห้ามสถาบันการเงินออกตราสารหนี้อายุเกินกว่า

10ปีเพื่อให้รัฐบาลซึ่งกำลังต้องการงบประมาณเพิ่มออกตราสารหนี้ระยะยาวได้ ก่อให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างตลาดการเงินและตลาดทุนอย่างยิ่งภาค

สถาบันการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์บิดเบือนจากความเป็นจริง ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายการเงินอย่างจริงจังเสียที!



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.