8 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ในวงการหนังสือโลก
เมื่อหนังสือเรื่อง Harry Potter and the Goblet of Fire ซึ่งเป็นหนังสือเล่มที่
4 ในชุด Harry Potter วางตลาด ปรากฏว่าเด็กๆ ทั้งในอังกฤษและสหรัฐ อเมริกายอมอดตาหลับขับตานอน
เพื่อที่จะไปเข้าคิวรอซื้อหนังสือเล่มนี้กันอย่างชนิดไม่เคยปรากฏมาก่อน ขณะที่หลายคนสั่งซื้อหนังสือล่วงหน้า
ด้วยหวังว่า พอถึงวันที่ 8 กรกฎาคม พวกเขาจะได้หนังสือทันที โดยที่ไม่ต้องไปเข้าคิวซื้อ...
จากตัวเลขการขายหนังสือล่วงหน้าของ Amazon.com พบว่า มีผู้สั่ง Harry Potter
and the Goblet of Fire สูงถึง 3 แสน 5 หมื่นเล่ม ขณะที่ BarnesandNoble.com
อ้างว่ามีผู้สั่งซื้อล่วงหน้าถึง 3 แสน 6 หมื่นเล่ม
ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เองที่ทำให้สำนักพิมพ์สโกแลสติก (Scholastic) ซึ่งได้ลิขสิทธิ์พิมพ์หนังสือเล่ม
นี้ในสหรัฐฯ สั่งพิมพ์เพิ่มทันทีอีก 3 ล้าน เล่ม รวมแล้ว Harry Potter and
the Goblet of Fire จะวางแผงถึง 6 ล้าน 8 แสนเล่ม
ขณะที่เมื่อปีที่แล้ว Harry Potter and the Prisoner of Azkaban ซึ่งเป็นหนังสือเล่มที่
3 ในชุดนี้ขายได้มากถึง 3 ล้าน 6 แสนเล่ม มีหนังสือที่ พอจะเทียบเคียงยอดจำหน่ายกับหนังสือเล่มนี้ได้เมื่อปีที่แล้ว
ก็เพียง The Testament ของจอห์น กริแชม (John Grisham, เท่านั้นที่ขายได้ทั้งหมด
2 ล้าน 4 แสน 7 หมื่นเล่ม
พร้อมๆ กันนั้น สำนักพิมพ์สโกแลสติกยังตีเหล็กเมื่อร้อน ด้วยการประกาศว่า
หนังสือปกอ่อนเรื่อง Harry Potter and the Chamber of Secrets หนังสือเล่มที่
2 ของชุดนี้ จะวางแผงวัน ที่ 15 สิงหาคมนี้ด้วยยอดพิมพ์ 3 ล้าน 2 แสนเล่ม
ทำให้หนังสือชุด Harry Potter มียอดวางจำหน่ายสูงถึง 30 ล้าน เล่ม ในระยะเวลาเพียง
3 ปี นับตั้งแต่ Harry Potter and the Socerers Stone ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกของชุดนี้เผยโฉมออกมา
สำหรับนวนิยายที่ได้รับการพูดถึงเสมอว่า ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คือ
Gone With the Wind ด้วยยอดจำหน่ายมากกว่า 30 ล้านเล่ม อย่างไรก็ตาม Gone
With the Wind พิมพ์ออกจำหน่ายตั้งแต่เมื่อปีพ.ศ. 2497
ความร้อนแรงของ Harry Potter นี้ ไม่ได้ "ร้อน" เพราะแรงโฆษณาหรือการตลาด
แต่เป็นเพราะ "ปากต่อปาก" ของบรรดาเด็กๆ ที่อ่านแล้วสนุก จึงบอก ต่อกันไปจนมีผู้สรุปว่า
จุดกำเนิดความ แรงของหนังสือเล่มนี้มาจากสนามเด็กเล่น และความนิยมใน Harry
Potter ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะถิ่นกำเนิดคือ ที่อังกฤษเท่านั้น แต่ได้ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังสหรัฐอเมริกา
และลามไปทั่วโลก
ปัจจุบันมีการแปล Harry Potter เป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 30 ภาษา และกำลังจะมีผู้แปลเป็นภาษาไทยด้วย
ว่ากันว่า นับตั้งแต่วงดนตรีสี่เต่าทอง หรือ The Beatles แล้วก็เห็น จะมี
Harry Potter นี่เอง ที่เป็นวัฒนธรรมจากอังกฤษที่ส่งอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อโลก
ดิฉันเองก็ถูกอิทธิพล Harry Potter ครอบงำอยู่เหมือนกัน ขณะที่เขียนนี้ก็ขาดเพียงเล่มที่
4 เท่านั้น และยามปลอดโปร่ง ดิฉันก็มักจะคว้าหนังสือ ชุดนี้มาอ่านแล้วก็ปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปกับโลกจินตนาการอย่างเพลิดเพลินใจ
และรู้สึกดีที่เคยแนะนำหนังสือเล่มนี้เมื่อเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว ในคอลัมน์
"สักวันหนึ่งดอกไม้จะบาน" ของ ผู้จัดการรายวัน
Harry Potter เป็นเรื่องของเด็กชายชื่อเดียวกับหนังสือผู้ซึ่งมีรอยสายฟ้าบนหน้าผาก
ที่ต่อมาได้ค้นพบอำนาจวิเศษในตัวเองและได้รับการฝึกจากโรงเรียนฝึกพ่อมดแม่มด-Hog-warts
School หนังสือชุดนี้แต่ละเล่มจะเต็มไปด้วยเวทย์มนต์ มีสัตว์ประหลาด มีพระเอก
แล้วก็มีผู้ร้าย...
ถ้าจะอ่านสนุก คำแนะนำก็คือต้องไล่อ่านมาตั้งแต่เล่มแรก เพื่อที่จะ ได้รู้จักกับตัวละครและเงื่อนงำต่างๆ
สำหรับหนังสือชุดนี้ ผู้เขียนตั้งเป้าไว้ว่าจะมีด้วยกันทั้งหมด 7 เล่ม เริ่มจากเล่ม
แรกที่ Harry Potter อายุ 11 ขวบและ พอถึงเล่มสุดท้าย เขาก็จะอายุ 17 ปี
สำเร็จจากโรงเรียน Hogwarts พอดี
แม้หนังสือชุดนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อมดแม่มดและถูกจัดอยู่ในกลุ่มหนังสือเด็ก
แต่กลับเป็นหนังสือที่อ่านได้ทุกเพศทุกวัย...จากรายงานอย่าง ไม่เป็นทางการระบุว่า
ผู้ที่ซื้อหนังสือเล่มนี้ 4 ใน 10 คนเป็นผู้ใหญ่ สำหรับดิฉันเอง สิ่งที่ค้นพบจากหนังสือชุดนี้ก็คือ
จินตนาการที่เคยมีอยู่น้อย หรือที่เคยเหือดแห้งหายไปในบางช่วงของชีวิต กลับมาบรรเจิดอีกครั้งชนิดรู้สึกได้เลยทีเดียว!
Harry Potter เขียนโดย เจ.เค. โรว์ลิง (J.K.Rowling) หญิงสาวชาวอังกฤษผู้เต็มไปด้วยจินตนาการและฝันที่จะเป็นนักเขียนมาตั้งแต่อายุได้
5-6 ขวบ และหนังสือเรื่องแรกที่เธอเขียนในชีวิตเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับกระต่ายที่ชื่อ
Rabbit
ทั้งๆ ที่โรว์ลิงชอบภาษาอังกฤษแต่เธอก็เลือกเรียนภาษาฝรั่งเศสที่ Exeter
University เมื่อจบแล้วเธอทำงานเป็นเลขานุการิณีอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษวิชาโปรดของเธอที่โปรตุเกส
จากโปรตุเกสเธอกลับอังกฤษพร้อมกับลูกสาว และงานเขียนเกี่ยวกับ Harry Potter
อีกครึ่งกระเป๋า เธอขีดเส้นตายให้ตัวเองว่าจะต้องเขียนให้เสร็จและตีพิมพ์ก่อนที่จะไปเป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศส
โรว์ลิงทุ่มเทเขียน Harry Potter ในร้านกาแฟ ในนครเอดินบะระโดยมีลูกสาวตัวน้อยนอนหลับอยู่ข้างๆ...
ตอนที่โรว์ลิงเขียน Harry Potter นั้น เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า เธอไม่เคยคิด
ว่า Harry Potter จะกลายเป็นหนังสือ ที่โด่งดัง และเธอจะกลายเป็นนักเขียน
ที่ประสบความสำเร็จจากหนังสือเล่มนี้ เพียงแต่ขณะที่เขียน เธอตั้งใจที่จะเขียนถึงเรื่องราวที่เคยชอบอ่านสมัยที่ยังเป็นเด็กเท่านั้น
โดยไม่คิดว่าจะมีคนมากมาย คลั่งไคล้งานของเธออย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม ตอนที่รู้ว่า Harry Potter จะได้รับการตีพิมพ์ นับเป็นหนึ่งในเวลาที่ดีสุดในชีวิตของเธอทีเดียว
หลังจากที่หนังสือได้รับการตีพิมพ์ในอังกฤษและสำนักพิมพ์ในสหรัฐฯ ได้ซื้อลิขสิทธิ์ไปพิมพ์
เธอก็ได้ตัดสินใจเลิกเป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศสและกลายเป็นนักเขียนอาชีพ
การต้อนรับที่อบอุ่นและร้อนแรง จาก Harry Potter เล่มที่ 1 จนถึงเล่มที่
4 ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จของโรว์ลิงได้อย่างดี
สำหรับนักเขียนในดวงใจของโรว์ลิง เธอบอกว่าคือ Paul Gallico และ C.S.Lewis
และอีกไม่นานเกินรอ ก็จะมีภาพยนตร์ Harry Potter the Movie โดยวอร์เนอร์
บราเดอร์ส ออกมาให้ได้ชมกัน พร้อมกับสินค้าต่างๆ จากเรื่อง Harry Potter
ที่จะออกมาตีตลาดกันให้เอิกเกริก
เมื่อตอนเป็นเด็กนอกจากเธอจะเคยเขียนเรื่องของกระต่ายแล้ว โรว์ลิงก็มักจะคอยเล่านิทานเกี่ยวกับกระต่ายให้น้องสาวฟังเสมอ
มาถึงวันนี้เธอเลี้ยงกระต่ายจริงๆ ไว้ตัวหนึ่ง ซึ่งบางทีก็ถูกมันข่วนเอา
จนเธอได้ข้อสรุปว่า...
ของบางสิ่ง หากปล่อยไว้ในจินตนาการแล้ว...จะดีที่สุด