"รสิกคาม" เรือนของผู้ชื่นชอบศิลปะ

โดย อรวรรณ บัณฑิตกุล
นิตยสารผู้จัดการ( พฤษภาคม 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

จากทางเดินที่เป็นสะพานไม้เล็กๆ ริมน้ำได้ถูกเชื่อมต่อไปยัง เรือน "รสิกคาม" เรือนสำหรับผู้ชื่นชอบงานศิลปะ ในโรงเรียนรุ่งอรุณ

"รสิกคาม" เป็นห้องเรียนศิลปะ และแกลลอรี่ในโรงเรียน ที่นอกจากมีรูปลักษณ์ภายนอกแปลกตาแล้ว กระบวนการเรียนรู้ของเด็กๆ ที่นี่ก็ผ่านวิธีการสอนที่น่าสนใจอย่างมากๆ ทีเดียว

ตัวอาคารเรียนนั้นเป็นบ้านเรือนไทยหลังใหญ่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง หลังคามุงด้วยจากที่เย็บอัดกันแน่นกันฝนกันแดดได้อย่างดี ตัวเรือนเปิดฝาโล่งให้ลมพัดผ่านได้เต็มที่ มีพัดลมเป็นบางจุดบนเพดาน และเสาบางต้น รสิกคามมีทั้งหมด 3 หลังเชื่อมต่อถึงกันด้วยชานบ้านและทางเดินที่มีราวระเบียง ไม้ไผ่ ริมทางเดินมีทั้งต้นโมก ต้นปาล์ม และไม้ในร่มอื่นๆ ดูร่มรื่นเย็นตา

"รสิก" แปลว่า ผู้รู้รสศิลปะ "คาม" แปลว่า บ้าน รสิกคาม คือ บ้านของผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะ แต่เดิมห้องเรียนวิชานี้ก็อยู่ภายในห้องเรียนเหมือนโรงเรียนทั่วไป แต่เมื่อประมาณ 3-4 ปีก่อน ครูสอนศิลปะและผู้บริหารโรงเรียนรุ่งอรุณ ได้แนวคิดที่ชัดเจนขึ้นว่าการเรียนศิลปะนั้นนอกจากจะทำให้เด็กรับรู้ความงามด้วยการมอง การฟัง และลงมือทำสิ่งอันประณีตแล้ว สิ่งที่จะต้องแทรกไว้ เสมอในทุกช่วงจังหวะการสอนก็คือ ความงามจากธรรมชาติ ห้องเรียนท่ามกลางธรรมชาติเลยเกิดขึ้น โดยมีผู้อำนวยการ โรงเรียน คือ รศ.ประภาภัทร นิยม เป็นผู้ร่วมออกแบบ

เด็กๆ จะนั่งเรียนกันบนพื้นไม้กระดานที่ยกพื้นขึ้นมาเหมือนบ้านไทยในชนบท เมื่อยนักก็นั่งวาดนอนวาดบรรเลงสีกัน ได้เต็มที่ เด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมถึงมัธยมต้น ซึ่งมีเพียงห้องละไม่เกิน 25 คน จะมีชั่วโมงเรียนในห้องเรียนแห่งนี้เฉลี่ยแล้วสัปดาห์ละ 1.30 ชม. ส่วนมัธยมปลาย จะมีชั่วโมงเลือกเพิ่มขึ้นมาด้วย

หลักสูตรหลักๆ ในระดับประถมก็คือ การเรียนสีน้ำ การปั้นดิน งานถัก งานทอ งานทอผ้า งานไม้ งานภูมิปัญญาชาวบ้าน

เรือนไม้ริมสุดยังเป็นที่สำหรับงานปั้นที่นักเรียน ซึ่งบางครั้งผู้ปกครองก็สามารถเข้ามาร่วมได้ด้วยในชมรมปั้นทุกเย็นวันอังคาร แต่การเชื่อมโยงสู่ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติใกล้ตัว ของวิชานี้เกิดขึ้นได้เมื่อเด็กๆ สามารถลงไปขุดดินดำๆ เละๆ ริมน้ำของห้องเรียน มาเลือกขี้กรวด ขี้ทรายออก นวดแล้วก็ปั้น หลังจากเลอะเทอะไปทั้งครู และลูกศิษย์แล้ว เด็กๆ ถึงจะมีโอกาสได้ปั้นกับดินวิทยาศาสตร์อื่นๆ ในชั่วโมงต่อๆ มา

เมื่อเป็นห้องเรียนใหญ่ที่เปิดโล่ง การใช้ประโยชน์จากเรือนนี้ก็สามารถทำได้เต็มที่และหลากหลาย ในช่วงเช้าของแต่ละวัน จะไม่มีชั่วโมง เรียนห้องเรียนสามารถเปลี่ยนเป็นแกลลอรี่ ที่โชว์ผลงานของเด็กๆ ของครู หรือผู้ปกครอง และในแต่ละปีจะมีการประกวดผลงานของนักเรียนอย่างชื่องานในปีนี้ก็คือ "ผลิดอกออกผล"

และที่สำคัญยังสามารถเชิญศิลปินที่มีชื่อเสียง มาสอนและให้ความรู้กับเด็กๆ รวมทั้งโชว์ผลงานของแต่ละท่านด้วย เช่น ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์, อาจารย์เกริก ยุ้นพันธ์, โชคชัย ตักโพธิ์, นายดี ช่างหม้อ และล่าสุดก็คือ มีการแสดงภาพวาดของอาจารย์อคิน ระพีพัฒน์

กิจกรรมต่างๆ พวกนี้มีผลอย่างมากในการซึมซับงานศิลปะ และเป็นการกระตุ้นให้เด็กๆ มีความมั่นใจ และมีความกล้าในการทำงานของตัวเองมากขึ้น

"ทุกครั้งที่มีศิลปินใหญ่ๆ มา ทั้งนักเรียน และครูจะตื่นเต้น กันมากครับ เป็นการสร้างแรงจูงใจที่ชัดเจนมากได้ฟังเขาพูดแล้วเห็นผลงานเขาอีก ผมเชื่อว่าการเรียนศิลปะนั้นสิ่งที่สำคัญมากคือ การดู เพราะว่า เราจะทำงานได้ดีนั้นจากตัวเราที่เราจะเขียนออกมาส่วนหนึ่ง ส่วนประสบการณ์ในการดู จะช่วยให้เรากล้าทดลอง หรือกล้าทำตาม กล้าจะเล่นสี กล้าครีเอทีฟมากขึ้น"

อาจารย์พิษณุ หรือ "ครูนุ" ของนักเรียนพูดให้ความเห็นกับ "ผู้จัดการ" ในยามสายของวันหนึ่งที่ชานเรือนรสิกคาม ซึ่งเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงร้องของจักจั่น

ครูนุ จบจาก มศว.ประสานมิตร ด้านศิลปะ เริ่มต้นชีวิตการ ทำงานในโรงเรียนแห่งนี้ การมีแกลลอรี่ทำให้ครูเองก็ได้ทำงานด้วย ได้แสดงผลงานด้วย และยังได้มีโอกาสเรียนรู้งานจากศิลปินด้วย

อย่างไรก็ตาม กิจกรรมพวกนี้ จะจัดได้ในช่วงเทอมที่ 3 คือ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมเท่านั้น เพราะมีข้อจำกัด ของสถานที่ที่โล่งมาก จัดกิจกรรมหน้าฝนจะลำบาก และในชั่วโมง เรียนปกติ ศิลปะก็ยังสัมพันธ์กับหน่วยการเรียนในวิชาต่างๆ ของแต่ละชั้นด้วย เพราะผู้สอนต้องการให้นักเรียนได้ใช้ศิลปะในการ ใช้ชีวิตจริงอย่างมีความสุขด้วย



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.