|
"ปริญสิริ"เบรกบ้านแพงรุกตลาดกลาง ตั้งเป้ารับรู้รายได้ 2,300 ล้านเติบโตจากปีก่อน 50%
ผู้จัดการรายวัน(10 กุมภาพันธ์ 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
"ปริญสิริ" เปิดแผนปี48 เบรกผลิตบ้านแพง หันรุกหนักตลาดกลาง ผุดบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ 6-7 โครงการ มูลค่าขายกว่า 3,000 ล้านบาท เผยไตรมาส 1-2 เปิดขายก่อน 4 โครงการ ส่วนอีก 3-2 โครงการเตรียมเปิดขายไตรมาส 3-4 แจงสต็อกบ้านในมือกว่า 400 ยูนิต คาดไม่เกินไตรมาส 4 ระบายหมด ตั้งเป้าปี 48 รับรู้รายได้ 2,300 ล้านบาท ส่วนยอดขายคาดไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาทเติบโตจากปี47 ประมาณ 50 % ย้ำเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ปีนี้แน่นอน เตรียมแตกไลน์พัฒนาโครงการแนวสูง
นายชัยวัฒน์ โกวิทจินดาชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารโครงการ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกลยุทธ์การตลาดปี 2548 ว่า บริษัทจะรุกตลาดระดับกลางมากขึ้น โดยสินค้าที่พัฒนาออกมาสู่ตลาดจะเน้นในเรื่องความแตกต่างของตัวสินค้า เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับผู้ประกอบการในพื้นที่ และมีการจัดโปรโมชันเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้าเนื่องจากในปีนี้โปรโมชันต่างๆ โดยในช่วงไตรมาสแรกจะมีโปรโมชันออกมาประมาณ 1-2 ตัว ส่วนในช่วงไตรมาส 3-4 จะมีโปรโมชันออกมาเพิ่มอีกประมาณ 3-4 ตัว โดยโปรโมชันต่างๆ ที่จัดขึ้นจะมีมูลค่าประมาณ 3 แสนบาทต่อราย ส่วนในเรื่องการปรับราคาบ้านนั้นบริษัทจะยังคงราคาเดิมไว้จนถึงเดือน มี.ค.นี้ แต่หลังจากที่รัฐบาลมีการปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลล์แล้ว บริษัทจะมีการปรับราคาขึ้นอีกไม่เกิน 5 %
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท จากเป้าทั้งปี 1,800 ล้านบาท ส่วนในปี 2548 นี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายที่ 3,000 ล้านบาท โดยจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 2,300 ล้านบาท เติบโตจากปี46-47 ประมาณ 50 % และคาดว่าจะมีกำไรจากการขายอยู่ที่ประมาณ 20 % สำหรับรายได้จากการขายที่บริษัทตั้งเป้าประมาณการไว้จะเป็นยอดขายจากโครงการเดิมที่เปิดขายตั้งแต่ปี 2547 ที่ผ่านมาและอีกส่วนหนึ่งจะเป็นรายได้ที่เกิดจากการขายโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้
ปัจจุบัน ปริญสิริมีสต็อกบ้านเหลืออยู่ในมือประมาณ 400 กว่ายูนิต หรือประมาณ 20-30 % แบ่งเป็นสต็อกบ้านจากโครงการเก่าประมาณ 200 กว่ายูนิต และสต็อกบ้านจากโครงการใหม่ที่กำลังจะเปิดขายในปี 2548 อีกกว่า 200 ยูนิต โดยแบ่งเป็น บ้านสั่งสร้าง 70 % โดยบ้านสั่งสร้างนี้จะก่อสร้างเฉพาะโครงสร้าง เพื่อให้ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนและเพิ่มเติมได้ตามความต้อง ส่วนบ้านพร้อมอยู่จะมีอยู่ 30 % ซึ่งปริญสิริคาดว่าจะสามารถระบายสต็อกบ้านในมือทั้งหมดได้ภายในปีนี้ สำหรับบ้านในโครงการใหม่ที่กำลังจะเปิดขายในปีนี้ ได้มีการเริ่มก่อสร้างไปแล้ว เฉลี่ยความก้าวหน้าในการก่อสร้างในทุกยูนิตไม่ต่ำกว่า 50 %
สำหรับในปีนี้ ปริญสิริจะหันมาเจาะตลาดบ้านระดับราคาประมาณ 4-7 ล้านบาท และบ้านทาวน์เฮาส์ราคาอยู่ที่ 1-3 ล้านบาท มากขึ้น ส่วนบ้านราคาแพงระดับราคา 10-30 ล้านบาท นั้นบริษัทยังไม่มีแผนการพัฒนาเพิ่มเนื่องจากยังมีสต็อกเก่าเหลืออยู่ประมาณ 4-5 ยูนิต สำหรับปีนี้ สัดส่วนการสร้างบ้าน บริษัท แบ่งสัดส่วนการสร้างบ้านออกเป็น บ้านเดี่ยว และบ้านแฝด ระดับกลาง 60 % บ้านทาวน์เฮาส์ 30 % ส่วนที่เหลือจะเป็นบ้านระดับราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท 10 %
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก 6-7 โครงการ แต่จะไม่ต่ำกว่า 6 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,000 กว่าล้านบาทโดยในปลายไตรมาส 1- 2 บริษัทจะเปิดตัว 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยเป็นบ้านเดี่ยว 3 โครงการคือ 1. ปริญญดาเทพารักษ์ เฟส 2 โดยในโครงการนี้จะมีทั้งบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด จำนวน 150 ยูนิต มูลค่า 300 กว่าล้านบาท 2.โครงการปริญญดา วงแหวนสาทร จำนวน 190 ยูนิต มูลค่ากว่า 985 ล้านบาท 3. ปริญญดา พระราม 2 จำนวน 70 ยูนิต มูลค่า 450 กว่าล้านบาท และ 4.โครงการทาวน์เฮาส์ ปริญลักษณ์ พระราม 2 จำนวน 164 ยูนิต มูลค่า 500 กว่าล้านบาท ส่วนที่เหลือ อีก 2ในจะเป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ ที่จะเริ่มเปิดตัวไตรมาส 3 จะเปิดโครงการใหม่ในย่านเอกมัย-รามอินทรา ทั้งนี้หากในช่วงปลายปีตลาดไม่มีการเปลี่ยนแปลงมา อาจจะมีการเปิดโครงการบ้านเดี่ยวเพิ่มอีก 1 โครงการ
อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่าโครงการทั้งหมดที่เปิดขายและกำลังพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน จะสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้ไปถึงปี 2549 ดังนั้นบริษัทจึงมีแผนที่จะซื้อที่ดินสะสม ในย่านเอกมัย, วงแหวนสาทร และ วงแหวนอ่อนนุช เข้ามาเพิ่มอีกประมาณ 2-3 แปลง เฉลี่ยแปลงละ 30-40 ไร่ หรือมีพื้นที่รวมไม่ต่ำกว่า 100 ไร่ เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ ในอนาคต โดยในช่วงนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจา ทั้งนี้ที่ผ่านมาราคาที่ดินได้มีการปรับขึ้นจากปี 2547 แล้วประมาณ 20-30 % แต่ในบางทำเล เช่น พื้นที่ที่มีถนนตัดใหม่ มีระบบขนส่งมวลชนตัดผ่าน รวมถึงรถไฟฟ้าใต้ดิน และพื้นที่ที่มีโครงการของภาครัฐบาลที่จะลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมีการปรับขึ้นราคาไปแล้วไม่ต่ำกว่า 50 % ส่วนที่ดินโซนตะวันออกบริเวณรอบนอกสนามบินสุวรรณภูมิราคาที่ดินได้ปรับขึ้นไปรอการพัฒนาตั้งแต่ปี 45 ที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้นในช่วงนี้ราคาที่ดินโซนดังกล่าวจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
"สำหรับแผนการขายหุ้นบริษัทว่า บริษัทจะนำหุ้นของบริษัทเข้าซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์ปีนี้อย่างแน่นนอน แต่จะในช่วงใดนั้นยังไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากยังรอดูภาวะของตลาดหุ้นอยู่ ตามแผนแล้วปริญสิริ จะขายหุ้นไอพีโอ 31 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท คิดเป็น 25% โดยตระกูลโกวิทจินดาชัยถือหุ้น 75% จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 134 ล้านหุ้น ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 670 ล้านบาท ชำระแล้ว 515 ล้านบาท มีหนี้สินต่อทุนประมาณ 1.2-1.3 % "นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวถึงการพัฒนาโครงการแนวสูงว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมทั้งด้านผลตอบแทน ทำเลที่เหมาะสม และรูปแบบการลงทุนว่าจะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ เนื่องจากโครงการแนวสูง หรือคอนโดมิเนียมเป็นโครงการที่จะต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างและการส่งมอบรวมถึงการรับรู้รายได้ที่ค่อนข้างนานดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณษและศึกษารูปแบบโครงการ และความต้องการของตลาดโดยรวม ซึ่งหากบริษัทจะเข้าไปพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมก็จะต้องรอบครอบให้มาก ส่วนพื้นที่ที่คิดว่าจะเหมาะแก่การพัฒนาโครงการดังกล่าวนั้น ปริญสิริ มองว่าที่ดินในเขตรอยต่อระหว่างเมือง อาทิ รัชดา ลาดพร้าว สุขุมวิท ฯลฯ เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมกับการลงทุน อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้มีนายหน้าหลายรายเสนอที่ดินเข้ามาให้เลือกจำนวนมาก ซึ่งบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าเหมาะสมกับการลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมหรือไม่
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|