ต้นปีที่แล้ว Erwin Huber หัวหน้าเจ้าหน้าที่สำนักนายกรัฐมนตรี (chief of
staff) แห่งแคว้น Bavaria ได้โทรศัพท์ถึงผู้บริหารคนหนึ่งของ HypoVereinsbank
(HVB) ธนาคารมหาชนใหญ่สุดอันดับสองของเยอรมนี ซึ่งมีฐานอยู่ใน Munich หัวข้อสนทนาคือการแข่งรถ
Formula One แต่ Huber ไม่ได้โทรไปเพื่อชวนคุยวิพากษ์วิจารณ์ผลแพ้ชนะในการแข่งสัปดาห์ก่อน
หากแต่เพื่อขอให้ HVB สนับสนุนทางการเงินแก่ Leo Kirch ที่กำลังจะซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด
Formula One
อันว่า Leo Kirch ผู้นี้ก็คือราชาธุรกิจสื่อของเยอรมนี ซึ่งเป็นนายจ้างที่สร้างงานรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของแคว้น
Bavaria นอกจากนั้นก็ยังเป็นนายทุนผู้สนับสนุนรายใหญ่ของนักการเมืองสายอนุรักษนิยมใน
Bavaria แม้ว่า Huber จะปฏิเสธในเวลาต่อมาว่า ไม่ได้พยายามที่จะกดดันให้
HVB ยอมปล่อยกู้แก่ Krich แต่อย่างใด แต่เขาก็ยอมรับว่า ได้เคยบอกกับผู้บริหารคนหนึ่งของธนาคารดังกล่าวว่า
การได้ลิขสิทธิ์ถ่ายสด Formula One "มีความสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างสูง" ต่ออุตสาหกรรมสื่อของ
Bavaria
อย่างไรก็ตาม HVB ได้ปฏิเสธคำขอร้องนี้ เพราะทางธนาคาร ได้ปล่อยกู้แก่
Kirch ไปแล้วถึง 400 ล้านดอลลาร์ และธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก (digital
pay TV) ของ Kirch ก็กำลังขาดทุนถึงหลายพันล้านดอลลาร์ ถ้าเป็นในประเทศที่มีเศรษฐกิจระบบตลาดเสรีอื่นๆ
เหตุการณ์ก็คงจะจบลงเพียงแค่นี้ และ Kirch คงพลาด Formula One แต่ไม่ใช่ใน
Bavaria ซึ่งยังมีทางเลือกอื่นอีก นั่นคือ Bayerische Landesbank ธนาคารที่รัฐบาลถือหุ้น
50% และคุมโดยคนสนิทของ Edmund Stoiber นายกรัฐมนตรี Bavaria ดังนั้นเพียงไม่นาน
Kirch ก็ได้เงิน 1 พันล้านดอลลาร์จาก Landesbank ซึ่งประเคนเงินภาษีของประชาชนไปเสี่ยงกับการลงทุน
ที่แม้แต่ธนาคารใหญ่อันดับสองของประเทศยังเห็นว่าเสี่ยงเกินไป
แต่นี่คือวิธีการทำธุรกิจที่ทำกันมานานแล้วในประเทศนี้ จริงอยู่ สายสัมพันธ์ทางการเมืองในทำนองนี้ก็มีกันอยู่ทุกประเทศ
แต่ในเยอรมนี ซึ่งธนาคารของรัฐสามารถจะปล่อยกู้ได้ตามอำเภอใจ และความสำคัญของการเปิดเผยข้อมูลบัญชีบริษัทยังถูกละเลยอยู่มาก
สายสัมพันธ์ทางการเมืองที่นักธุรกิจผู้ร่ำรวยและทรงอิทธิพลมีอยู่ สามารถจะดลบันดาลให้เขาได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
นี่ดูเหมือนจะเป็นความจริงในกรณีของ Leo Kirch คหบดีเจ้าของอาณาจักรสื่อผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในยุโรป
เขาได้รับเงินกู้จำนวนมากมายมหาศาล จากธนาคารน้อยใหญ่ของเยอรมนีเสมอมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปี
ก่อนหน้าที่เขาจะนำพาอาณาจักรของเขาเข้าใกล้ความหายนะอย่างทุกวันนี้ ในยามนี้
บรรดาธนาคารเจ้าหนี้ยังคงกำลังคลำหาทางออกให้แก่วิกฤติการณ์นี้ ด้วยการส่งคนจากสำนักงานกฎหมายระดับแนวหน้าเข้าไปในสำนักงานใหญ่ของ
Kirch เพื่อเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของตน พันธมิตรในวงการเมืองของ Kirch อาจพยายามจะช่วยเขาซื้อเวลา
ด้วยการจัดการให้เขาได้รับเงินกู้จากธนาคารของรัฐมากขึ้น หรือกดดันธนาคารอื่นๆ
ให้สนับสนุนทางการเงินแก่เขาต่อไป แต่บรรดาผู้บริหารของบริษัทสื่ออื่นๆ ที่ต่างพากันติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่างเห็นพ้องกันว่า
โอกาสที่ Kirch จะสามารถกอบกู้สถานการณ์จนกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิมดูจะริบหรี่เต็มที
เหมือนกับละครประโลมโลกทั้งหลายที่เต็มไปด้วยบทเศร้าเรียกน้ำตาคนดู อวสานของ
Kirch ก็มีตัวละครที่เคราะห์ร้ายหลาย สิบคน ธนาคารเจ้าหนี้และหุ้นส่วนธุรกิจของ
Kirch กำลังแย่งกันทึ้งซากที่เหลืออยู่ของอาณาจักร Kirch นั่นคือห้องสมุดลิขสิทธิ์รายการโทรทัศน์ของ
Kirch ที่ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยหวังว่าจะได้เงินของตนคืนมาอย่างน้อยสัก
9 พันล้านดอลลาร์ ธนาคารใหญ่ๆ หลายแห่งของเยอรมนีอาจจะต้องสูญเสียเงินรายละหลายร้อยล้านดอลลาร์ไปกับ
Kirch ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับอันดับ ความน่าเชื่อถือของธนาคารเหล่านั้น เจ้าของสตูดิโออย่าง
Vivendi Universal และ Viacom Inc. อาจชวดเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ เพราะ
Kirch ได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามข้อตกลงที่จะซื้อลิขสิทธิ์รายการที่พวกเขาผลิตไปแล้ว
ผู้เคราะห์ร้ายรายอื่นๆ ยังได้แก่บรรดา นักลงทุนคือ Lehman Brothers Inc.
และ Kingdom Holding Co. ของเจ้าชาย Alwaleed bin Talal bin Abdulaziz Alsaud
แห่งซาอุดีอาระเบีย
การล่มสลายของ Kirch และอาณาจักรสื่อของเขา ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงจริยธรรมการทำธุรกิจ
ซึ่งถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของหายนะในครั้งนี้ ผลกระทบของเหตุการณ์นี้หาได้กระทบเพียงอุตสาหกรรมสื่อของเยอรมนี
ซึ่งการล่มสลายของ Kirch จะเท่ากับเป็นการเปิดตลาดที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปให้แก่
Rupert Murdoch และบริษัท News Corp. ของเขาเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือนเป็นวงกว้างไปถึงการเมืองระดับชาติ
การล่มสลายของเจ้าพ่อสื่ออย่าง Kirch จะเพิ่มความกดดันให้มีการเร่งจำกัด
อภิสิทธิ์ในการปล่อยกู้ของธนาคารกึ่งรัฐอย่าง Landesbanks ของเยอรมนี และกระทบกระเทือนโอกาสที่Stoiber
จะโค่นนายกรัฐมนตรี Gerhard Schroderk แห่งเยอรมนี ให้ลงจากบัลลังก์ได้ ในการเลือกตั้งทั่วไปในฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้
ความขัดแย้งระหว่างธนาคารเยอรมนีเกี่ยวกับวิธีที่เหมาะสมในการจัดการกับปัญหา
Kirch กำลังกัดกร่อนระบบพันธมิตรที่ประกอบด้วยสถาบันการเงิน บริษัท และนักการเมือง
ที่เรียกว่า Germany Inc. อย่างถึงราก ธนาคารเจ้าหนี้อย่างเช่น HVB ได้แสดงความไม่พอใจ
Rolf Breuer ผู้บริหารสูงสุดของ Deutsche Bank ที่ออกมาแสดงความไม่เชื่อถือ
ใน Kirch Group อย่างเปิดเผย ส่วนตัว Leo Kirch เอง ซึ่งเป็นสุดยอดนักธุรกิจวงในของเยอรมนี
อาจต้องลงเอยด้วยการขุดหลุมฝังระบบพันธมิตรทางการเงิน ธุรกิจ และการเมืองดังกล่าว
ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งใน การสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่เขา "ผมคิดว่าธนาคารได้เรียนรู้อีกครั้งแล้วว่า
การไม่ยอมทำการบ้านของตัวเองอย่างระมัดระวังเพียงพอ ทำให้พวกเขาต้องเสียหายมากแค่ไหน"
Christian Strenger กรรมาธิการคนหนึ่งในคณะกรรมาธิการบรรษัทภิบาลของรัฐบาลเยอรมนีกล่าว
แม้ว่าบรรดาคู่แข่งของราชาธุรกิจสื่อวัย 75 ปี จะขุ่นเคืองใจกับการชอบทำตัวลึกลับ
การใช้กลเม็ดเด็ดพรายในการเจรจาต่อรอง และการใช้สายสัมพันธ์ทางการเมืองของ
Kirch เสมอมา แต่พวกเขาก็อดทึ่งในความฉลาด การทำงานหนัก และความกล้าได้กล้าเสียของ
Kirch ไม่ได้ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เองที่ผลักดันให้บุตร ชายของนักปรุงไวน์ที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามคนหนึ่งจาก
Franconia สามารถสร้างอาณาจักรสื่อมูลค่า 5,000 พันล้านดอลลาร์ขึ้นมาจากศูนย์ได้
ตำนานชีวิตของ Kirch เริ่มในยุคหลังสงครามของเยอรมนี หนุ่ม Kirch วัย 29
ปีเดินทางซอกซอนไปทั่วภาคใต้ของยุโรป เพื่อหาซื้อหนังมาฉายในเยอรมนี บางครั้งเขาไม่มีเงินพอที่จะเช่าที่พักและต้องนอนในรถโฟล์ค
ความสำเร็จครั้งแรกของเขาคือ La Strada หนังที่เล่าถึงชีวิตเศร้าของชายผู้แข็งแกร่งแห่งคณะละครสัตว์
ที่กำกับโดย Federico Fellini ผู้กำกับชื่อดังชาวอิตาลี ด้วยเงินที่ยืมมาจากพ่อตาแม่ยายจำนวน
58,000 ดอลลาร์ Kirch สามารถซื้อลิขสิทธิ์หนังเรื่องนี้มาพากย์เป็นภาษาเยอรมัน
และให้บริษัทหนังในเยอรมนีเช่าสิทธิไปฉาย
กำไรจาก La Strada ทำให้ Kirch สามารถลงหลักปักฐาน ในอาชีพนักล่าลิขสิทธิ์รายการ
แล้วในเวลาเพียงไม่นาน Kirch ก็บุกถึง Hollywood และสามารถทำข้อตกลงซื้อลิขสิทธิ์รายการของสหรัฐฯ
เพื่อนำมาฉายในเยอรมนีได้สำเร็จหลายฉบับ ซึ่งมีมูลค่ารวมหลายล้านดอลลาร์
แต่ดีลครั้งใหญ่ครั้งแรกของเขาเกิดขึ้นใน ปี 1959 เมื่อเขาตกลงซื้อลิขสิทธิ์หนังล็อตใหญ่ของ
United Artists/Warner Bros. ข้อตกลงครั้งนั้นนับว่าเสี่ยงและกล้าบ้าบิ่นอย่างยิ่ง
เพราะลูกค้าหลักของ Kirch มีเพียงสถานีโทรทัศน์ของรัฐใน West Germany เท่านั้น
เนื่องจากรัฐยังผูกขาด การเป็นเจ้าของคลื่นอยู่ในขณะนั้น สถานีโทรทัศน์เหล่านั้นบอกกับ
Kirch ว่าพวกเขาต้องการหนังเพียง 70 เรื่องเท่านั้น และมีงบเพียง 900,000
ดอลลาร์ ปัญหาก็คือ สตูดิโอ United Artists/Warner Bros. ไม่ยอมขายหนังจำนวนน้อยกว่า
400 เรื่อง และต้องการเงินค่าลิขสิทธิ์เป็นจำนวนถึง 2.7 ล้านดอลลาร์ ด้วยความกลัวว่า
สตูดิโอยักษ์ใหญ่ของ Hollywood จะเมินการใช้เขาเป็นตัวกลาง และไปติดต่อโดยตรงกับสถานีโทรทัศน์ของเยอรมนีเสียเอง
Kirch ตัดสินใจกู้เงินมาซื้อหนังตามจำนวนที่สตูดิโอกำหนด เพราะเขาเชื่อมั่นว่า
ไม่ช้าก็เร็ว สถานีโทรทัศน์ของเยอรมนี ก็จะต้องมาขอซื้อหนังจากเขาเพิ่มขึ้นอีกจาก
70 เรื่อง แล้วเขาก็จะขายหนังส่วนที่เกินได้แน่ๆ
ผลปรากฏว่า Kirch คิดถูก และต่อมาวิธีการทำธุรกิจแบบนี้ได้กลายเป็นต้นแบบวิธีการทำธุรกิจของ
Kirch ที่ทำให้เขาสามารถสร้างอาณาจักรสื่อมูลค่าหลายพันล้านได้สำเร็จ กล่าวคือ
วางเดิมพันก้อนโตที่ได้จากการกู้ยืม แล้วสร้างกำไรจำนวนมหาศาล Kirch ก้าวต่อไปสู่การเป็นผู้จัดหารายการต่างประเทศรายใหญ่ป้อนสถานีโทรทัศน์ของเยอรมนี
เขาเป็นผู้นำเข้ารายการดังๆ อย่าง Star Trek และ Lawrence of Arabia มายังเยอรมนี
จัดการลงเสียงพากย์เป็นภาษาเยอรมัน แล้วขายต่อด้วยการบวกราคาที่สูงมาก จนบางคนคิดว่าสูงเกินไปด้วยซ้ำ
ในช่วงทศวรรษ 1970 บรรดาสถานีโทรทัศน์ของรัฐในเยอรมนีถูกโจมตีว่า ปล่อยให้
Kirch เกือบจะผูกขาดการเป็นผู้จัดหารายการจากต่างประเทศ แต่ Kirch ไม่เคยได้รับผลกระทบใดๆ
จากความขัดแย้งครั้งนั้น และครั้งต่อๆ มาอีกหลายครั้งเลยแม้แต่น้อย สายสัมพันธ์ที่เขาสร้างไว้กับนักการเมืองก็ยังคงแข็งแกร่ง
รวมถึงสายสัมพันธ์ใกล้ชิดที่เขามีต่อ Helmut Kohl ด้วย ผู้ซึ่งต่อมาได้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งของเยอรมนี
สำหรับคนเยอรมันโดยทั่วไป Kirch ผู้ลึกลับมีภาพลักษณ์ค่อนข้างเป็นผู้ร้าย
จากการที่เขาผูกขาดธุรกิจสื่อ และสร้างความร่ำรวยด้วยเงินที่มาจากประชาชน
แต่สำหรับใน Bavaria แล้ว Kirch คือผู้สร้างงานรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่ง ผู้มีคุณกับเศรษฐกิจของแคว้น
เช่นเดียวกับ BMW และ Siemens เมื่อบริษัทของเขามีพนักงานเกือบ 10,000 คน
ผู้ที่เคยได้พบกับ Kirch ต่างเห็นว่าเขาเป็นคนที่มีเสน่ห์ และมีรสนิยมสูง
เขาหลงใหลในดนตรีคลาสสิก และเป็นมิตรสนิทกับ Leonard Bernstein วาทยกรผู้มีชื่อเสียง
โดย Kirch เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้แก่รายการแสดงดนตรีทางโทรทัศน์ของ
Bernstein ด้วย "คนที่เคยไม่ชอบ Kirch เมื่อได้มาเจอเขามักจะเปลี่ยนใจทุกราย"
Norbert Schneider เจ้าหน้าที่ระดับสูงในการสื่อสารมวลชนของเยอรมนี (Germany's
State Media Authority) เพื่อนที่คุ้นเคยกับ Kirch มายาวนานกล่าวถึงเพื่อนคนนี้
อดีตพนักงานคนหนึ่งเล่าว่า Kirch เป็นผู้บริหารที่บ้างานและมีบุคลิกที่อบอุ่นเหมือนพ่อ
ผู้สามารถจะชนแก้วไวน์แดงกับลูกน้องตอน 4 ทุ่มของคืนวันศุกร์ ที่ทุกคนยังคงอยู่ทำงานที่ออฟฟิศ
ผู้ใกล้ชิด Kirch กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า Kirch เป็นมหา เศรษฐีที่ไม่ชอบอวดร่ำอวดรวย
เขาชอบที่จะหมกตัวอยู่ในออฟฟิศเก่าๆ เล็กๆ ใน Munich ซึ่งเขาใช้เป็นที่ทำงานมาตั้งแต่หนุ่มๆ
ตอนบ่ายวันอาทิตย์เป็นเวลาทำงานของ Kirch ด้วย บรรดาผู้บริหารระดับสูงในบริษัทของเขาจะมาชุมนุมกันที่นี่เป็นประจำ
และรอคอยอย่างอดทนที่จะเข้าพบเขาเป็นเวลาเพียงไม่กี่นาที
เมื่อถึงกลางทศวรรษ 1980 Kirch ก็กลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในเยอรมนี
เขามีปัญหาด้านสายตาเนื่องมาจากโรคเบาหวาน แม้ว่าเขาจะอายุเกือบ 60 แล้วในขณะนั้น
แต่ไม่เคยมีคำว่าเกษียณอยู่ในสารบบของเขา ในปี 1984 รัฐบาลเยอรมันได้ยกเลิกการผูกขาดสถานีโทรทัศน์
ซึ่งเป็นโอกาสครั้งใหญ่สำหรับนักธุรกิจภาคเอกชนที่จะสร้างอาณาจักรสื่อ เพียงไม่นานหลังจาก
นั้น Kirch ก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Sat.1 สถานีโทรทัศน์ที่เอกชนเป็น เจ้าของรายแรกๆ
ของเยอรมนี Kirch ยังเข้าถือหุ้น 40% ใน Axel Springer Veilag สำนักพิมพ์เจ้าของหนังสือพิมพ์
Bild ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่สุดของเยอรมนี ในปี 1996 Kirch วางเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา
ด้วยการก่อตั้งโทรทัศน์ดิจิตอล ระบบบอกรับสมาชิก (digital pay TV) ซึ่งสามารถส่งสัญญาณทั้งภาพและเสียงคุณภาพเยี่ยมที่สุด
และสามารถทำรายการแบบ interactive ได้ ความฝันของ Kirch คือการได้เป็นผู้ควบคุมเทคโนโลยีที่มีอนาคตสดใสที่สุด
และสร้างตลาดใหม่ให้แก่ธุรกิจค้าหนังและรายการของเขา
แต่ความจริงคือ Kirch กำลังขุดหลุมฝังตัวเอง เพียงปีแรก โทรทัศน์บอกรับสมาชิกของ
Kirch Group สามารถหาสมาชิกได้เพียง 100,000 คนเท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนเพียงเศษเสี้ยวของเป้าหมายสมาชิก
จนถึงปี 2000 Kirch ทุ่มเงินไปกับโทรทัศน์บอกรับสมาชิกแล้วถึง 2.8 พันล้าน
และปัจจุบันยังควักเนื้ออยู่ทุกวันวันละ 1.3 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้จากการประเมินของ
WestLB Panmure วาณิชธนกิจในเครือของธนาคาร Westdeutsche Landesbank ที่มีฐานอยู่ใน
Dusseldorf ปีที่แล้ว ช่อง Premiere World ซึ่ง เป็นช่องรายการหลักของ Kirch
Pay TV สามารถดึงดูดสมาชิกได้เพิ่มขึ้นเพียง 110,000 ราย จากเป้าที่ตั้งไว้
2.4 ล้านราย ซึ่งต่ำกว่าจุดคุ้มทุนอย่างมาก
ความผิดพลาดอยู่ตรงไหนกันแน่ คำตอบคือทุกจุด ทั้งผู้บริหารในอุตสาหกรรมและอดีตลูกจ้างของ
Kirch ตอบเป็นเสียงเดียวกัน Kirch ยืนกรานให้สมาชิกเป็นผู้รับภาระค่าเครื่อง
set-top decoder ซึ่งมีราคาแพงถึง 500 ดอลลาร์ เขาไม่เชี่ยวชาญการจัดการเรื่องสมาชิกหรือการพัฒนาเทคโนโลยี
แต่กลับไล่หุ้นส่วนที่รู้โนว์ฮาวด้านนี้ออกไป
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Pay TV ของ Kirch ประสบกับความ หายนะก็คือ การลงทุนด้วยเงินจำนวนมหาศาลที่
Kirch ใช้ซื้อลิขสิทธิ์หนังและรายการกีฬาต่างๆ ข้อตกลงที่เขาทำกับบริษัทผลิต
สื่อต่างประเทศทำให้เขามีภาระหนี้ถึง 2.6 พันล้านดอลลาร์ ที่จะต้องจ่ายเป็นค่าลิขสิทธิ์หนังจนถึงปี
2006 Vivendi กำลังมีคดีฟ้อง ร้องกับ Kirch เพื่อให้เขาจ่ายค่าลิขสิทธิ์มูลค่า
200 ล้านดอลลาร์ แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมบันเทิงเชื่อว่า Kirch เป็นหนี้ Paramount
ถึง 100 ล้านดอลลาร์ จากข้อตกลงที่เขาทำกับสตูดิโอดังกล่าวในปี 1996 ที่ผูกพันให้เขาต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เป็นจำนวน
1 พันล้านดอลลาร์สำหรับสัญญา 10 ปี
อย่างไรก็ตาม น่าประหลาดมากที่ Kirch ยังคงสามารถระดมทุนได้ไม่หมดไม่สิ้น
แม้ว่านิตยสารหลายฉบับในเยอรมนีอย่างเช่น Manager จะเริ่มเตือนสาธารณชนถึงหนี้สินจำนวนมากมายจนน่าตกใจของเขามาตั้งแต่ปี
1997 ทำไมบรรดานายธนาคาร ผู้มีประสบการณ์คร่ำหวอด จึงยอมเปลืองตัวกับ Kirch
ถึงขนาดนี้ คำตอบส่วนหนึ่งน่าจะอยู่ที่ Germany Inc. ซึ่งเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างนักธุรกิจและนักการเมือง
ที่เคยครอบงำเยอรมนี และยังไม่ได้ล้มหายตายจากไปไหนแม้จะลดบทบาทลงไปมาก นาย
ธนาคารระดับสูงหลายรายยอมรับโดยขอไม่เปิดเผยตัวว่า พวกเขา เจอแรงกดดันทางการเมืองให้ยอมปล่อยกู้แก่
Kirch ทั้งนี้ การผูกขาดธุรกิจสถานีโทรทัศน์ของ Kirch ร่วมกับบริษัท Bertelsmann
เป็นประโยชน์แก่ทั้งเขาและนักการเมือง ซึ่งไม่ต้องการให้บริษัทต่างชาติเข้ามาเป็นเจ้าของสื่อในเยอรมนี
เหตุผลอีกส่วนหนึ่งยังเป็นเพราะความศรัทธาที่บรรดานายธนาคารมีต่อ Kirch
"Kirch เป็นคนที่น่าทึ่ง มีเสน่ห์ มีพลังจูงใจ สูง และสามารถทำให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวเขา"
ผู้บริหารระดับสูง ของธนาคารแห่งหนึ่งกล่าว สำหรับนายธนาคารซึ่งมีลูกค้าปกติคือผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องจักร
หรือนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แล้ว Kirch คือช่องทางเข้าสู่ธุรกิจบันเทิงอันน่าหลงใหลและน่าตื่นเต้น
นอกจากนี้ยังเป็นเพราะธนาคารไม่มีหลักเกณฑ์ที่เป็นรูปธรรมใดๆ ที่จะนำมาใช้ตัดสินมูลค่าของห้องสมุดลิขสิทธิ์รายการของ
Kirch ซึ่งเขามักจะนำมาวางเป็นหลักประกันหนี้ แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้สายธารเงินทุนที่ไหลหลั่งมาสู่
Kirch ไม่เคยเหือดแห้งก็คือ ประวัติการกู้ยืม 45 ปีของ Kirch เขากู้หนัก
เดิมพันหนัก และกำไรหนักเสมอมา เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะเชื่อว่าคนอย่างเขาก็ล้มเป็น
ความล้มเหลวในธุรกิจ Pay TV ของเขาเริ่มหนักหนาสาหัส ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
เมื่อ Axel Springer Verlag ใช้สิทธิทำ put option มูลค่า 670 ล้านดอลลาร์
ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ผูกพันให้ Kirch ต้องซื้อคืนหุ้นของ Springer ในกิจการร่วมทุนของทั้งสองฝ่าย
นั่นเป็นเพียงลางร้ายครั้งแรกของ Kirch สำหรับปีนี้เท่านั้น เพราะ Murdoch
ก็กำลังจะทำอย่างเดียวกับที่ Springer ทำ ทั้งนี้ตามข้อตกลงที่ BskyB บริษัท
Pay TV ในอังกฤษของ Murdoch ที่ทำ ไว้กับ Kirch Murdoch สามารถใช้สิทธิ put
option ได้ตั้งแต่ช่วงนี้ ไปจนถึงเดือนตุลาคม
อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายคนเชื่อว่า Kirch จะต้องหาทางออกได้ และจริงๆ แล้ว
บรรดาธนาคารเจ้าหนี้ก็ยังคงพยายามหาทางที่จะไม่ให้อาณาจักรของ Kirch ต้องถึงกับล้มละลาย
บางคนคาดว่า เหล่าธนาคารเจ้าหนี้จะช่วยรักษาหน้าให้แก่ Stoiber ซึ่งกำลังชิงชัยตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเยอรมนีด้วยการประคอง
Kirch ไม่ให้ล้มละลายก่อนหน้าการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในเดือนกันยายนนี้
นายธนาคารหลายคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เชื่อว่า Kirch Group น่าจะไม่ถึงขั้นล้มละลาย
แต่จะต้องปรับโครงสร้างลดขนาด กันขนานใหญ่ Murdoch อาจฉวยเอา Pay TV ไปจากมือของ
Kirch หุ้นของ Kirch ใน ProSieben สถานีโทรทัศน์เอกชนของเยอรมนี อาจถูกนำออกขายในตลาดหุ้นส่วนผู้ผลิตรถอาจสนใจลิขสิทธิ์ถ่ายทอด
Formula One
แต่ถ้า Kirch ต้องประกาศล้มละลายเพราะหมดความสามารถในการชำระหนี้เข้าจริงๆ
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจะไม่เพียง อยู่ในโลกการเงินเท่านั้น บริษัทค้าลิขสิทธิ์ของ
Kirch เป็นหนี้สโมสรฟุตบอลต่างๆ ของเยอรมนีอยู่ถึง 480 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหาก
Kirch ไม่สามารถชำระหนี้ได้ การเงินของสโมสรเหล่านี้จะต้องกระทบกระเทือนแน
และเมื่อนั้น ข่าวของ Kirch ก็จะขยายจากหน้าข่าวการเงินไปยังหน้าข่าวกีฬาที่คนส่วนใหญ่อ่าน
Stoiber ซึ่งกำลังตระเวนหาเสียงไปทั่วเยอรมนีในขณะนี้ ก็จะต้องมีคำอธิบาย
อันเป็นที่พอใจของประชาชน รับรองว่างานนี้เขาเหนื่อยหนักแน่
สำหรับธนาคารเจ้าหนี้อย่าง Deutsche Bank และ Dresdner Bank ประโยชน์เพียงประการเดียวที่พวกเขาจะได้รับจากการ
ล่มสลายของ Kirch คือ ทำให้ความพยายามของสหภาพยุโรป (European Union) ที่จะยกเลิกอภิสิทธิ์ของ
Landesbanks คืบหน้าเร็วขึ้น เพราะธนาคารกึ่งรัฐดังกล่าว มีรายการปล่อยกู้ที่มีความเสี่ยงสูงหลายรายการ
แต่กลับยังคงได้รับความน่าเชื่อถือในระดับสูง เนื่องจากมีรัฐบาลเป็นประกันการล่มสลายของ
Kirch ยังช่วยเพิ่มน้ำหนักให้แก่ฝ่ายที่สนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลบัญชีบริษัท
ให้โปร่งใสมากกว่านี้ โดยเฉพาะหลังจากกรณีการล่มสลายของ Enron Corp. ยักษ์ใหญ่ค้าพลังงานของสหรัฐฯ
อันเนื่องมาจากบัญชีที่ไม่โปร่งใส "เราไม่รู้จริงๆ ว่า Kirch Group มีหนี้สินทั้งหมดเท่าไร
และครบกำหนดชำระเมื่อไร" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งในธนาคารเจ้าหนี้รายหนึ่ง ยอมรับแรงกดดันให้มีการเปิดเผยข้อมูลบัญชีมากขึ้น
อาจจะครอบคลุมไปถึงบริษัทจดทะเบียน อย่างเช่น Volkswagen ที่มักจะมีพฤติกรรมตระหนี่ถี่เหนียวข้อมูลด้วย
ส่วน Kirch ขณะนี้เขากำลังพยายามที่จะรักษาสภาพคล่องไว้ให้มากที่สุด ด้วยการขายสินทรัพย์เช่นหุ้นในสำนักพิมพ์
Springer หรือหุ้น 25% ใน Telecinco สถานีโทรทัศน์ของ Spain นักสังเกตการณ์อุตสาหกรรมคาดว่า
Kirch จะพยายามรักษาห้องสมุดลิขสิทธิ์รายการของเขา ซึ่งใหญ่ที่สุดในยุโรปไว้
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา Kirch ได้แต่งตั้ง Georg Kofler อดีต CEO ของ
ProSieben ให้เข้ามาช่วยกอบกู้ธุรกิจ Pay TV ของเขา แต่ถ้าหาก Kirch จำต้องหลบลี้หนีหายไปจากเวทีจริงๆ
แม้แต่ศัตรูเก่าของเขาก็ยังรู้สึกว่าเป็นความสูญเสีย "ในแง่ความเข้าใจใน
Hollywood และเข้าใจความสำคัญของ content ในธุรกิจสื่อแล้ว Kirch ล้ำหน้าทุกคน
ในเยอรมนีไปถึง 20 ปี "Michael Dornemann อดีตผู้บริหาร Bertelsmann บริษัทซึ่งเคยเป็นหุ้นส่วน
ของ Kirch ในธุรกิจทีวี กล่าว แต่สิ่งที่ Kirch ยัง "เข้าใจ" น้อยเกินไปคือ
เยอรมนีจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีทำธุรกิจใหม่แล้ว
เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
แปลและเรียบเรียงจาก Business Week, March 11, 2002