ขุนคลังชี้คาลเปอร์สลงทุน เพิ่มความเชื่อมั่นหุ้นไทย


ผู้จัดการรายวัน(3 กุมภาพันธ์ 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

หุ้นอสังหาฯกลับมาคึกคัก ขณะที่เม็ดเงินตปท.กระจุกตัวในหุ้นสื่อสารและหุ้นโยงการเมือง ขุนคลังคาดหากกองทุน cal PERS สนใจตลาดหุ้นไทย จะเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ ด้าน"สศค" ย้ำกองทุนต่างชาติสนลงทุนเมะโปรเจ็กต์ ชี้พึ่งเงินกู้ต่างชาติเกินชาติน้อยที่สุด เพื่อความมั่นคงการคลัง "เกียรตินาคิน" ชี้หุ้นกลุ่มการเมืองส่งผลแค่จิตวิทยา "ยูโอบี"ยกวัสดุก่อสร้างเด่น เปิดตัวหุ้นร้อนเดือนม.ค. BNT แรงสุดพุ่ง 129% ,ECLพุ่ง 68% ,MIDA พุ่ง 47.77%

ทิศทางตลาดหุ้นไทยก่อนการเลือกตั้งแม้จะไม่มีความหวือหวาร้อนแรง หุ้นที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มทางการเมืองจะยังไม่ออกอาการดังที่หลายฝ่ายจับตามองก็ตาม แต่หุ้นบางกลุ่มที่จะได้รับผลดีจากนโยบายของพรรคไทยรักไทย ก็ยังเป็นกลุ่มที่นักลงทุนเข้าซื้อขายอย่างโดดเด่นไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสื่อสาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง

วานนี้ (2 ก.พ.) บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสิน ประเมินการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไว้ว่า นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อสุทธิทำให้ยอดสะสมนับตั้งแต่ต้นปี 2548 มีมูลค่ารวม 4.9 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามเม็ดเงินลงทุนกระจุกตัวในหุ้นกลุ่มสื่อสารและหุ้นกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับประเด็นทางการเมือง นักลงทุนคาดว่าภายหลังการเลือกตั้งการลงทุนในตลาดหุ้นจะคึกคักขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะหากพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดมากกว่า 320 เสียง

ขณะที่ดัชนีวานนี้แก่วงตัวอยู่ในกรอบแคบๆก่อนปิดที่ 710.33 จุด เพิ่มขึ้น 1.60 จุดหรือ 0.23% มูลค่าการซื้อขาย 23,434.62 ล้านบาท กลุ่มอสังหาริมทรัพย์กลับมานำทีมคึกคัก ดัชนีปิดที่ 132.01 เพิ่มขึ้น 2.40 จุด หรือ 1.85% มูลค่าการซื้อขาย 4,131.45 ล้านบาท

กลุ่มสื่อสารก็ยังร้อนต่อเนื่อง ดัชนีปิดที่ 113.25 จุด เพิ่มขึ้น 0.18 จุดหรือ 0.16% มูลค่าการซื้อขาย 2,922.07 ล้านบาท และกลุ่มพลังงาน ดัชนีปิดที่ 11,783.95 จุด เพิ่มขึ้น 72.96 จุดหรือ 0.62% มูลค่าการซื้อขาย 2,293.37 ล้าน

นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,566.18 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 409.26 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,156.92 ล้านบาท

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า ในช่วงก่อนเลือกตั้งนักลงทุนมองว่าหุ้นกลุ่มที่มีชื่อว่าเป็นกลุ่มการเมืองจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นเป็นเพียงเรื่องของจิตวิทยาเท่านั้น ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งนี้ไม่เหมือนกับการเลือกตั้ง 4 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากทุกฝ่ายมองว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล จึงทำให้หุ้นที่อยู่ในรายชื่อหุ้นกลุ่มการเมืองไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก เช่น ซึ่งหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้จะเป็นหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลมากว่า เช่น บริษัท อิตาเลียนไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ได้ผลประโยชน์ทางด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนหุ้นบริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน)หรือ TT&T บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ที่ปรับขึ้นเนื่องจากมีความชัดเจนในการจัดตั้ง คณะกรรมการโทรคมนาคม ( กทช.)มากว่า

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการ บล.ยูโอบีเคย์เฮียน กล่าวว่า หุ้นส่วนใหญ่ขณะนี้ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น จะเป็นกลุ่มกลุ่มวัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งจะได้รับผลประโยชน์ทางด้านโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลจะมีการลงทุน เช่น ITD ที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีที่ผ่านมา20% บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)หรือ CK ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปลายปี 10% และบริษัท ชิโน-ไทย อินจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ STEC ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปลายปี 2547 ถึง 40%

ส่วนหุ้นที่มีการถือของนักการเมืองนั้นอาจจะไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก เพราะต้องการความชัดเจนในการเลือกตั้งว่าจะกลับมาเป็นคณะรัฐมนตรีเหมือนเช่นเดิมหรือไม่

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้จัดการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.พัฒนสิน จำกัด กล่าวว่า นักลงทุนเริ่มเน้นการเก็งกำไรค่อนข้างมากโดยเฉพาะหุ้นที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งนี้นักลงทุนมีความคาดหวังว่าหุ้นที่มีผู้ถือหุ้นเป็นนักการเมืองหรือได้รับผลประโยชน์จากนโยบายทางการเมือง โดยคาดว่ารัฐบาลชุดเดิมน่าจะได้รับการเลือกตั้งเป็นรัฐบาล

นอกจากนี้นักลงทุนคาดว่าหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับการบริโภคของประชาชนจะมีการเก็งกำไรมากขึ้น เนื่องจากจะมีภาพการแข่งขันทางการเมืองที่ชัดเจน โดยกลุ่มที่โดดเด่นคือ กลุ่มสื่อสารและกลุ่มวัสดุก่อสร้าง

ในส่วนของภาพลักษณ์ของรัฐบาลในตอนนี้นักลงทุนมั่นใจในทิศทางปัจจัยที่จะเป็นขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ โดยในเรื่องความชัดเจนในกระบวนการจัดตั้ง กทช.ด้วย ส่งผลให้หุ้นกลุ่มสื่อสารได้รับความสนใจอย่างมาก

คาลเปอร์สให้นำหนักหุ้นไทยเด่น

ขณะที่วานนี้กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ แห่งรัฐเคริฟอเนีย หรือ กองทุน cal PERS ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนประกาศถอนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จนเป็นข่าวใหญ่ฮือฮา ได้กลับมาแนะนำว่าตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่น่าลงทุน

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกระแสข่าวที่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ แห่งรัฐเคริฟอเนีย หรือ กองทุน cal PERS ให้ไทยเป็นหนึ่งในบัญชีรายชื่อตลาดเกิดใหม่ที่น่าเข้ามาลงทุน ว่า ยังไม่ทราบเรื่อง แต่หากกองทุนดังกล่าวสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจริง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งที่เคยเกรงกันว่า เหตุการณ์คลื่นยักษ์ สึนามิ จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศนั้น เคยย้ำหลายครั้งแล้วว่า นักลงทุนต่างชาติเข้าใจดี ไม่มีผลกระทบอยู่แล้ว

นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า การแสดงท่าทีว่าจะกลับเข้ามาลงทุนในไทยอีกครั้งของกองทุน cal PERS นับว่า เป็นเรื่องที่ดีมาก ซึ่งหากกองทุนดังกล่าวจะเข้ามาลงทุนจริงเท่ากับมองเห็นความสำคัญของไทยมากขึ้น

ทั้งนี้ โดยส่วนตัวมองว่า cal PERS อาจจะเห็นว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินลงทุนจำนวนมาก ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจ็กต์) ซึ่งหากรัฐบาลชุดนี้ หรือ รัฐบาลชุดใดก็ตามเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศสมัยหน้า การลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนยังสิ่งที่ประเทศไทยต้องสนับสนุนอย่างแน่นอน"เขาคงมองว่า ต่อไปภาครัฐจะมีการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในเมกะโปรเจ็กต์ ซึ่งในส่วนนี้ก็จะมีผลต่อทั้งตลาดทุนและตลาดเงินบ้านเราเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามไม่ได้หวังว่า cal PERS จะเข้ามาลงทุนกับเราในวงเงินเท่าใด แค่แสดงท่าทีว่าจะเข้ามาลงทุนจริง ก็ส่งผลดีแล้วเพราะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงมุมมองของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่อเศรษฐกิจของเราด้วย" นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่ห่วงผลกระทบ กรณีที่เกรงว่า หากมีเม็ดเงินจากกองทุนต่างประเทศ เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก อาจจะส่งผลให้ตลาดเกิดการผันผวนได้ หากเม็ดเงินลงทุนเหล่านั้น ถูกถอนออกไป เพราะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เป็นการลงทุนระยะยาว จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของเม็ดเงินกู้จากต่างประเทศที่จะใช้ในลงทุนใน เมกะโปรเจ็กต์ จะพยายามให้มีน้อยที่สุด เพราะจะเป็นภาระหนี้สาธารณะ ซึ่งทางเลือกในการใช้แหล่งเงินสำหรับลงทุนนั้นจะมาจากหลายทาง ทั้งในรูปของเงินกู้ ทุน เงินของรัฐวิสาหกิจเอง หรือ งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งทั้งหมดจะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ และอยู่ภายใต้กรอบการคลังที่ยั่งยืน

5 หุ้นพุ่งแรงเดือนม.ค.

ด้านรายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แจ้งถึงหลักทรัพย์ที่ราคาปรับตัวสูงสุด 5 อันดับแรกภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่วันที่4 มกราคม- 1 กุมภาพันธ์ 2548โดยไม่นับรวมใบสำคัญแสดงสิทธิ(วอร์แรนท์)ปรากฏว่าหุ้นบริษัทบีเอ็นพี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์(BNT) ราคาปรับตัวขึ้นมากสุด โดยราคาปิด ณวันที่ 1 มกราคม ราคาปิดที่ 0.47 บาทเพิ่มขึ้น 129.79%ซึ่งสาเหตุที่ราคาปรับตัวขึ้นมาแรงเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาได้มีกระแสข่าวเกี่ยวกับผลประกอบการของปี2547 รวมถึงกระแสข่าวว่านักลงทุนรายใหญ่ได้เข้ามาซื้อหุ้นและข่าวการเจรจาควบกิจการกับบริษัทแชนแนล(วี)ประเทศไทยจนทำให้ตลาดหลักทรัพย์ได้สั่งห้ามการซื้อขายมาแล้ว 2 ครั้ง

นอกจากนี้การที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมากและมีมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นผิดปกตินั้นได้ส่งผลทำให้ตลาดหลักทรัพย์ได้สั่งห้ามซื้อขายหุ้นในลักษณะเน็ตแซทเทิ้ลเม้นท์และห้ามซื้อขายด้วยมาร์จิ้นนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นบีเอ็นทีจะต้องซื้อขายด้วยเงินสดเท่านั้นสำหรับอันดับรองลงมาได้แก่หุ้นบริษัทตะวันพาณิชย์ลิสซิ่ง(ECL)ราคาปิดล่าสุด 4.00 บาทเพิ่มขึ้น 68.75% ,บริษัทไมด้าแอสเซท(MIDA) ราคาปิด 7.85 บาทเพิ่มขึ้น47.77% ,หุ้นบริษัทชิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น(STEC) ราคาปิดล่าสุด 8.45 บาทเพิ่มขึ้น 46.75%และหุ้นบริษัทยูนิ เวนเจอร์ (UV) ราคาปิด 1.72บาทเพิ่มขึ้น 44.19%


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.